'แผนพลังงานชาติ 2023' โจทย์ใหญ่รัฐบาล 'ก้าวไกล'

'แผนพลังงานชาติ 2023' โจทย์ใหญ่รัฐบาล 'ก้าวไกล'

“พลังงาน” เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลมีหลายแนวทางในการบริหารพลังงาน รวมถึงพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นการดูแลราคาค่าไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ รวมถึงการปรับโครงสร้างพลังงาน

ในขณะที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างจัดทำแผนพลังงานชาติ 2023 (National Energy Plan 2023) ซึ่งจะเป็นแนวทางการพัฒนาพลังงานในช่วง 5 ปี ข้างหน้า โดยจะเป็นการรวมแผนด้านพลังงานไว้ 5 แผนมาบูรณาการและรวมกันไว้ภายใต้แผนเดียวประกอบด้วย

1.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) 2.แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) 3.แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) 4.แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan) และ 5.แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan)

\'แผนพลังงานชาติ 2023\' โจทย์ใหญ่รัฐบาล \'ก้าวไกล\'

นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยว่า สำหรับความคืนหน้าแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan)  ซึ่งรวมอยู่ใน 5 แผนพลังงานที่รวมไว้ด้วยกันในแผนพลังงานชาติ 2023 ได้เปิดประชาชพิจารณ์กลุ่มย่อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนต่อจากนี้จะต้องรอให้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เห็นชอบแผนจากการเปิดประชาพิจารณ์รอบสุดท้ายก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่พิจารณาอนุมัติ

อย่างไรก็ตาม กรอบแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Pan) แบ่งเป็น 

1.บริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงาน โดยการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและสำรองให้เพียงพอในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและกำหนดการสำรองใหม่ภัยใต้ Energy transformation ที่มีผลกระทบจากนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 

2.บริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง แบ่งเป็น น้ำมันดีเซล โดยตั้งแต่ปี 2567 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วฐานของประเทศ ให้มีสัดส่วน B100 ที่ 5-9.9% ส่วนน้ำมันเบนซิน E20 เป็นเบนซินฐานของประเทศภายในปี 2570 เช่นกัน ด้าน LPG และ NGV นั้น ภาคขนส่งให้เป็นไปตามกลไกตลาด

3.ส่งเสริมการใช้และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมการขนส่งน้ำมันทางท่อให้เป็น Backbone ของประเทศ และส่งเสริมการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าในสถามีบริการน้ำมัน 

4.ส่งเสริมธุรกิจใหม่ในอนาคต เช่น ปิโตรเคมี/ปิโตรเคมีขั้นสูง รวมถึงโรงกลั่นชีวภาพ (Bio-Refinery) และ พลังงานหมุนเวียน

สำหรับแนวทางการส่งเสริมธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสร้างผลตอบแทนที่คุณค่าต่อผู้ลงทุนและต่อประเทศ ช่วง 5 ปี (พ.ศ 2565-2569) จำนวน 8 โครงการ งบประมาณการลงทุน 34,900 ล้านบาท เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน ปีละกว่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น

1.ปิโตรเคมี/ปิโตรเคมีขั้นสูง (โรงกันน้ำมัน) จำนวน 1 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 7,500 ล้านบาท โดยการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการลงทุนของโรงกลั่นน้ำมัน สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 4 และในพื้นที่ลงทุนนอกเหนือโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยประสานความร่วมมือกระทรวงระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เช่น สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI), การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.), สภาพัฒน์ฯ, กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ร่วมสนับสนุน 

2.โรงกลั่นชีวภาพ จำนวน 7 โครงการ มูลค่า 27,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ผลิตเอทานอล โดยสนับสนุนการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรในการแปรรูป ลดปัญหาภาวะล้นตลาด ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับสินค้าเกษตร ส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอเจต (SAF)/BHD สนับสนุนแผน AEDP โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีและเป้าหมายสัดส่วนการผสม SAF

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการลงทุนในธุรกิจอื่น เช่น พลังงานหมุนเวียน, การดักจับคาร์บอนและการจัดเก็บคาร์บอน (CCS&CCUS) มีการลงทุนในอนาคตโดยภาพรวม 3 โครงการ วงเงิน 20,000 ล้านบาท โดยการสนับสนุนพลังงานทางเลือกที่สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศประเทศไทยมีความพร้อมทางด้านทรัพยากร (แสงอาทิตย์ น้ำ ลม) สะท้อนนโยบายเศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำพร้อมรับการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน รวมเป็น 54,900 ล้านบาท และยังมีโครงการที่ลงทุนไปแล้วอีก 6 โครงการ มูลค่ากว่า 54,200 ล้านบาท

นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ในระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ฉบับใหม่ (PDP 2023) ระหว่างปี 2566-2580 หรือ PDP 2023 (ค.ศ.2023-2037) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพลังงานชาติ ที่มีทิศทางสอดรับกับข้อตกลงที่ประเทศจะมุ่งสู่พลังงานสะอาด ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืน

โดยการปรับปรุงแผนฯ ดังกล่าว เกิดจากทิศทางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่นานาประเทศต่างให้ความสำคัญ เพื่อมุ่งสู่การแก้ปัญหาลดโลกร้อน 

ดังนั้น ครม.จึงมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน ปรับปรุงแผนให้สอดรับกับสถานการณ์พลังงานในอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นแผนดังกล่าวควรแล้วเสร็จและประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2565 แต่เนื่องจากวิกฤติโควิด-19 และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของอัตราการใช้พลังงานทั่วโลกมีความผันผวน ส่งผลให้แผนพลังงานชาติ 2022 มีความล่าช้า จนไม่สามารถนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้ทันในปี 2565 จึงปรับแผนใหม่ เป็นแผนพลังงานชาติ 2023 แทน