เทคโนฯปลุกเทรนด์ควบรวม ไตรมาสแรกแตะ1.2แสนล้าน

เทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยน ปลุกดีลควบรวมธุรกิจโทรคมนาคมคึกคัก กขค.เผยไตรมาสแรกควบรวม 1.2 แสนล้าน “พาณิชย์” ชี้จดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ไตรมาส 1 พุ่งเกือบ 3 แสนล้าน ปัจจัยหนุนจากควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม ดีลใหญ่ควบรวมทรู-ดีแทค ทุนฯ1.38 แสนล้าน ลุ้น “บางจาก” เทคโอเวอร์เอสโซ่
Key Points
- ไตรมาส 1 ปี 2566 มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ทุนจดทะเบียน 299,608 ล้านบาท
- -ฃการควบรวมกิจการธุรกิจโทรคมนามทำให้มีการจัดตั้งบริษัททุนจดทะเบียนสูง
- สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันการค้าเปิดเผยว่าไตรมาส 1 มีการควบรวมกิจการ 7 ราย
- การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีส่งผลให้มีการควบรวกิจการกันมากขึ้น
ปรากฎการณ์ควบรวมกิจการในปี 2565-2666 มีหลายกิจการที่น่าสนใจ โดยในปี 2565 สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันการค้า (กขค.) ได้สรุปสถิติการควบรวมกิจการประเภทที่ต้องขออนุญาตมี 3 ราย มูลค่าธุรกิจ 249,736 ล้านบาท และประเภทแจ้งควบรวมกิจการ 39 ราย รวมมูลค่าธุรกิจ 43,1989 ล้านบาท รวมทั้ง 2 ประเภท 681,725 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมและการเงิน
ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2566 มีการควบรวม 7 ราย รวมมูลค่าธุรกิจ 126,017 ล้านบาท โดยอยู่ในประเภทแจ้งควบรวมกิจการทั้งหมด ส่วนดีลใหญ่ที่ต้องได้รับอนุญาตจาก กขค.ที่น่าจับตา คือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซื้อหุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาในเดือน ก.ค.นี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การควบรวมกิจการที่มีมากขึ้นส่งผลต่อการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ในเดือน มี.ค.2566 โดยมีการยื่นจดทะเบียนธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ 9,179 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 299,608 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือน ก.พ.2566 เพิ่มขึ้น 7.52% และเมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.2565 เพิ่มขึ้น 28.13%
ทั้งนี้ สถิติการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในเดือน มี.ค.2566 ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการควบรวมกิจการในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมและธุรกิจประกันวินาศภัยรวมทั้งมีการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในกลุ่มธุรกิจโฮลดิ้งและโรงแรม ซึ่งทำให้การจัดตั้งธุรกิจเดือน มี.ค.2566 เป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี นับจากเดือน มี.ค.2557
สำหรับประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 752 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8% รองลงมา คือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 699 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7% และอันดับ 3 ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 440 ราย คิดเป็นสัดส่วน 5%
ขณะที่การจดทะเบียนเลิกธุรกิจในเดือน มี.ค.2566 มี 1,102 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา 26.81% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 19.01% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ 22,684 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจไตรมาส 1 มีการตั้งธุรกิจใหม่ 26,182 ราย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่ผ่านมา 17.16% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2565 คิดเป็น 66.85%
ส่วนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจไตรมาสที่ 1 มีจำนวน 3,268 ราย เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีปีที่ผ่านมา 25.98% แต่ ลดลงจากไตรมาส 4 คิดเป็น 68.70%
นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 อยู่ที่ 40,000-42,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ 72,000-77,000 ราย
เทคฯเปลี่ยนปลุกดีลควบรวม
การมาถึงของบริการโทรคมนาคมในระบบ 5จี เปิดฉากการควบรวมกิจการรอบใหม่ในหมู่ผู้ให้บริการไร้สายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแบ่งเบาภาระการลงทุน แต่ก่อให้เกิดความกังวลว่าตลาดจะถูกครอบงำโดยผู้เล่นไม่กี่ราย
ไม่เพียงแค่เทคโนโลยี 5จี แต่ยังมีเทคโนโลยียุคใหม่อื่นๆ ที่เป็นตัวแปรให้ธุรกิจต้องปรับตัว โดยในไทยช่วงรอบปีที่ผ่านมา มีการควบรวมในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมกันอย่างคึกคัก
เว็บไซต์ นิกเคอิเอเชีย รายงานว่า ในไทย “ทรู” บริษัทโทรคมใหญ่อันดับ 2 ควบรวมกับ “ดีแทค” เบอร์ 3 ตั้งบริษัทใหม่เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2566 ยังใช้ชื่อว่า “ทรู” ทุนจดทะเบียน 138,208 ล้านบาท ตอนนี้ครองตลาดกว่าครึ่ง ชิงมงกุฎจากเอไอเอสที่เป็นผู้นำมากว่า 2 ทศวรรษ
การแถลงข่าวเมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นเดือน มี.ค.2566 โดยนายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ทรู กล่าวว่า บริษัทมีแผนขยายบริการ 5 จีให้ครอบคลุม 98% ของประชากรไทยภายในปี 2569
บริษัทแม่ ทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และกลุ่มเทเลนอร์ เชื่อมั่นว่าการรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค จะสร้างประโยชน์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย ซึ่งบริษัทใหม่จะมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมด้วยการดำเนินธุรกิจด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่ บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกและบริการดิจิทัล
ทั้งนี้ บริษัทใหม่จะเพิ่มความแข็งแกร่งจากการดำเนินธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพิ่มศักยภาพการลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการนำเทคโนโลยีล้ำหน้าระดับโลกมาสู่เครือข่ายคุณภาพและนวัตกรรมด้านดิจิทัล พร้อมทั้งผลักดันวาระการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของไทย
เอไอเอสซื้อกิจการ“3บีบี”
ขณะที่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ “เอไอเอส” ก็ปิดดีล “ซื้อกิจการ” บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) หรือ 3บีบี ในเครือกลุ่มบริษัทจัสมินฯ เอไอเอสมองดีลครั้งนี้ว่า จะช่วยเสริมแกร่ง โครงข่ายอินเน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ให้ครอบคลุมทั่วถึงคนไทย และตอบโจทย์การขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้รวดเร็วขึ้น
ในมาเลเซียกลุ่มโทรคมนาคมก็มีดีลควบรวมเกิดขึ้น “เซลคอม” ที่ควบคุมโดยอาเซียตากรุ๊ปผนึกกับ “ดิจิดอทคอม” ที่เทเลนอร์ถือหุ้น 49% ซึ่งเป็นการรวมกันของเบอร์ 3 และเบอร์ 2 ตามลำดับ ตั้งบริษัทแห่งใหม่ใหญสุดลูกค้ากว่า 20 ล้านคน
5จี จุดกระแสการควบรวม
ปัจจัยขับเคลื่อนการควบรวมเหล่านี้คือความต้องการการใช้จ่ายฝ่ายทุนเพื่อหนุนการขยายตัว เป็นทรัพยากรในการวิจัยและพัฒนา บริษัทวิจัยอังกฤษ “จีเอสเอ็มเอ” คาดว่า การลงทุนของภาคส่วนโทรคมนาคมในเอเชียแปซิฟิกจะทะลุ 1.34 แสนล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2565-2568 ค่าใช้จ่ายสำหรับ 5จี จะคิดเป็น 75% ของต้นทุนเหล่านั้น และการแข่งขันสร้างเครือข่าย 5จีกำลังเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงไปสู่มาตรฐานโทรคมนาคมใหม่มักกระตุ้นให้แคริเออร์ต้องควบรวมกิจการกัน ปี 2557 XL Axiata บริษัทโทรคมอันดับ 3 ของอินโดนีเซียซื้อบริษัทอันดับห้า Axis Telekom Indonesiaปีเดียวกันนั้น เมียนมาอนุญาตให้เทเลนอร์และโอรีดู ของกาตาร์เข้าตลาดที่ควบคุมโดยแคริเออร์ของรัฐ เพื่อการลงทุนที่จำเป็น
ช่วงโควิดระบาดการชอปปิงออนไลน์ และชำระเงินแบบไม่ต้องใช้เงินสดเริ่มเป็นที่นิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วีดิโอสตรีมมิงใช้กันเป็นปกติ ค่าธรรมเนียมข้อมูลพุ่งสูง การพัฒนาเครือข่าย 5จีจึงเป็นความสำคัญเร่งด่วน
รายงานเผยแพร่ปีนี้โดยดาต้ารีพอร์ทัลชี้ว่า ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลาออนไลน์ยาวนานขึ้น ฟิลิปปินส์ครองแชมป์ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเฉลี่ย 5.5 ชั่วโมงต่อวัน ไทยและอินโดนีเซียติดอันดับท็อปเท็นด้วยความต้องการบริการ 5จีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ด้วย ซัพพลายเออร์อุปกรณ์โทรคม “อีริคสัน” คาดว่า ผู้ใช้ 5จีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเกินกว่า 600 ล้านคนในปี 2571
บิ๊กดีล“บางจาก”ควบ“เอสโซ่”
ขณะที่ดีลใหญ่แห่งปี 2566 ในธุรกิจพลังงาน คือ การที่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซื้อหุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. จำนวน 65.99% มูลค่าประมาณ 55,000 ล้านบาท โดยผู้ถือหุ้นบางจากอนุมัติแล้ววันที่ 11 เม.ย.2566 และเหลือขั้นตอนการขออนุญาตควบรวมกิจการกับคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.)
ทั้งนี้ สำนักงาน กขค.ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบการควบรวมกิจการ โดยมีเวลาทำงาน 90 วัน และขยายต่อ 15 วัน รวมไม่เกิน 105 วัน โดยหลังจากนั้นจะเสนอคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าในเดือน ก.ค.2566
สำหรับกรณีบางจากควบรวมกับเอสโซ่คาดว่าเข้าข่ายการขออนุญาตรวมธุรกิจ ในลักษณะเข้าซื้อหรือได้มาซึ่งหุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือหลักทรัพย์อื่นที่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ ณ สิ้นวันใดวันหนึ่ง เพิ่มขึ้นถึงหรือเกินกว่า 25% ขึ้นไปของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของผู้ประกอบธุรกิจอื่นที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือการเข้าซื้อหรือได้มาซึ่งหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง ณ สิ้นวันใดวันหนึ่ง เพิ่มขึ้นเกินกว่า 50% ขึ้นไปของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของผู้ประกอบธุรกิจอื่น
ทั้งนี้ กรณีควบรวมโรงกลั่นน้ำมันบางจาก-เอสโซ่ จะเข้าข่าย มาตรา 51 ตาม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า กรณีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท และการควบรวมธุรกิจของบางจากเป็นเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่จาก ExxonMobil ซึ่งเกิน 50% ที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้หากบางจากได้รับการอนุญาตควบรวมธุรกิจกับเอสโซ่ จะทำให้บางจากมีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นจากวันละ 120,000 บาร์เรล เป็น 294,000 บาร์เรล ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของไทยและมีสถานีบริการเพิ่มขึ้นอีก 802แห่ง รวมเป็น 2,145 แห่ง ขยับขึ้นเป็นบริษัทที่มีสถานีบริการติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการขยับขึ้นเป็น 30% เข้าใกล้เบอร์ 1 อย่างบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือOR ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 42%







