เพิ่มโอกาส-เพิ่มพลัง ‘สตรี’ ฟัง​มุมมอง​ ศิริกัญญา ตันสกุล

แก้โจทย์​ใหญ่​การเมือง​ หวังเพิ่มโอกาสให้ผู้หญิง​มากขึ้น​ ฟัง​มุมมอง​รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ศิริกัญญา ตันสกุล

ณัฐวุฒิ บัวประทุม พรรคก้าวไกล กล่าวถึงนโยบาย ไล่ตั้งแต่ การลาคลอดควรขยายจาก 90 วัน เป็น 180 วัน แบ่งวันลาได้ระหว่างพ่อ-แม่ มีของขวัญแรกเกิดมูลค่าไม่เกิน 3,000 บาท นำไปสู่การซื้ออุปกรณ์ดูแลเด็กหรือการเสริมทักษะต่างๆ เงินอุดหนุนถ้วนหน้า 1,200 บาท/เดือน มีระบบติดตามคัดกรองเด็กแต่ละครอบครัว ส่งเสริมการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในการดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาษีผ้าอนามัยและการแจกผ้าอนามัยฟรี

การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก การมีสถานพยาบาลยุติการตั้งครรภ์อย่างน้อยจังหวัดละ
1 แห่ง ในวัยทำงานต้องมีค่าจ้างขั้นต่ำที่ 450 บาท/วัน โดยค่อยๆ ปรับขึ้นแบบขั้นบันไดตามอัตราเงินเฟ้อ กำหนดมาตรฐานชั่วการทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ สนับสนุนการตั้งสหภาพแรงงาน การเข้าถึงประกันสังคมแบบถ้วนหน้า นโยบายบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน การเพิ่มจำนวนผู้ดูแล (Caregiver) เพื่อดูแลผู้สูงอายุ การเข้าถึงที่อยู่อาศัย สนับสนุนบทบาทของท้องถิ่นในการดูแลประชาชน ลดความกังวลถูกตรวจสอบเรื่องการใช้งบประมาณ เป็นต้น

“การส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัย ผ่านระบบคูปองต่างๆ ซึ่งเป็นคูปองที่เด็กประถม มัธยม อุดมศึกษา มีขั้นบันไดในการเลือกว่าเขาจะใช้ระบบอย่างไร แล้วก็รวมถึงกรณีการฝึกทักษะอาชีพต่างๆ ให้กับผู้สูงอายุที่มากขึ้น ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่างๆ ประเด็นความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนหญิงที่มีแค่ 700 คน ในสถานีตำรวจกว่า 1,400 แห่ง ในพนักงานสอบสวนหมื่นกว่าคนมีผู้หญิงแค่ 700 คน เราสนับสนุนให้มีผู้หญิงอย่างน้อยที่สุดสถานีละ 1 คน ในเชิงของการสอบสวน” ณัฐวุฒิ กล่าว

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย ให้ความเห็นต่อกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหนังขุนพันธ์ 3 ที่ถูกลดรอบฉายจากโรงหนังของเครือธุรกิจเครือหนึ่งว่า การลดรอบหนังเพื่อกีดกันหนังของคู่แข่งไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้า เท่ากับเปิดโอกาสให้เกิดการเอาเปรียบคู่แข่ง

“คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ต้องเข้ามาดูสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร มีการกีดกันภาพยนตร์คู่แข่งจริงหรือไม่ ถ้าทำผิดจริงก็ต้องมีการลงโทษตามกฎหมาย  หรืออาจต้องมีการพิจารณาบังคับแยกธุรกิจการสร้างภาพยนต์ กับโรงฉายหนังไม่ให้เป็นเจ้าเดียวกัน” ศิริกัญญากล่าว

ศิริกัญญาล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์การผูกขาดของโรงหนังไทยถือว่ารุนแรงมาก เพราะในเรามีเจ้าของโรงหนังรายใหญ่ในตลาดเพียงแค่ 2 เจ้าใหญ่ ซึ่งคนทำหนังก็แทบไม่มีทางเลือกมากอยู่แล้ว แต่เจ้าของโรงหนังรายใหญ่ยังขยายธุรกิจระดับต้นน้ำ คือบริษัทค่ายภาพยนตร์ ซึ่งเป็นคนให้ทุนทำหนังเสียเอง จึงอาจนำมาสู่การค้าที่ไม่เป็นธรรมกับคู่แข่ง เมื่อโรงหนังกับค่ายหนังเป็นเจ้าของเดียวกัน ก็สามารถใช้อำนาจกำหนดจำนวนรอบฉายเพื่อกีดกันไม่ให้เจ้าอื่นมาแข่งกับหนังของตัวเองได้ แต่กฎหมายแข่งขันทางการค้าของประเทศไทยดูเหมือนจะไม่ทำงาน

“เมื่ออำนาจในการกำหนดรอบฉายอยู่ที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ คนทำหนังก็ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าหนังที่ทำมาจะได้รอบฉายจากโรงหนัง ทำให้คนทำหนังที่ต้องการผลิตเนื้อหาที่หลากหลายไม่กล้าลงทุน ผลสุดท้ายเนื้อหาของหนังก็กลับไปเป็นแบบเดิม” ศิริกัญญากล่าว

สำหรับการแก้ปัญหา ศิริกัญญาเสนอว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายอย่างน้อย 2 เรื่องที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้กว้างหลากหลายเป็นธรรมได้

เรื่องแรกคือ ทลายการผูกขาดในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ บังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง จัดการผู้ประกอบการที่กินรวบตลอดทุกขั้นตอนการผลิต

“อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือเสนอให้มีการกำหนดสัดส่วนเวลาฉายขั้นต่ำสำหรับคนทำหนังไทยรายเล็กและหนังอินดี้ เพื่อให้คนทำหนังรายอื่นที่ต้องการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาหลากหลายได้มีพื้นที่ในการนำเสนอภาพยนตร์ต่อประชาชน จะอยู่รอดไม่รอดให้คนดูเป็นผู้ตัดสิน” ศิริกัญญากล่าว