'สามารถ' เปิดข้อมูลใหม่ ประมูลสายสีส้มพุ่ง 7.5 หมื่นล้านบาท

'สามารถ' เปิดข้อมูลใหม่ ประมูลสายสีส้มพุ่ง 7.5 หมื่นล้านบาท

'สามารถ ราชพลสิทธิ์' เปิดไทม์ไลน์ ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ไขปมผลต่างพุ่งขึ้นจากเดิม 68,612.53 ล้านบาท เป็น 75,756.58 ล้านบาท

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เนื้อหาดังนี้ 

สุดช็อก ! ข้อมูลใหม่ ดันผลต่างประมูลสายสีส้ม  พุ่งจาก 6.8 เป็น 7.5 หมื่นล้าน 
 
เดิมเราเข้าใจกันว่า เงินสนับสนุนสุทธิในการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ครั้งที่ 2 มากกว่า ครั้งที่ 1 ถึง 6.8 หมื่นล้าน แต่มาวันนี้ ตัวเลขนี้อาจพุ่งขึ้นเป็น 7.5 หมื่นล้าน ! ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? 

1. การประมูล ครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ประกาศเชิญชวนเอกชนให้ร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) และเดินรถตลอดสายทั้งช่วงตะวันตก และตะวันออก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) แต่ในระหว่างการประมูล รฟม. ได้เปลี่ยนเกณฑ์ประมูล และในที่สุดได้ล้มประมูล 

การประมูล ครั้งที่ 1 มีเอกชนยื่นข้อเสนอ 2 ราย ประกอบด้วย (1) บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC และ (2) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM

แม้การประมูล ครั้งที่ 1 จะถูกล้มไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อไม่นานมานี้ BTSC ได้ขอเอกสารที่ยื่นประมูลคืนจาก รฟม. และได้เปิดซอง “ข้อเสนอด้านการลงทุน และผลตอบแทน” ต่อหน้าสื่อมวลชน พบว่า BTSC ได้เสนอเงินตอบแทนให้ รฟม. 70,144.98 ล้านบาท และขอรับเงินสนับสนุนจาก รฟม. 79,820.40 ล้านบาท เป็นผลให้ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนสุทธิ (เงินที่ รฟม. ต้องสนับสนุน หักด้วย เงินตอบแทนที่ รฟม. ได้รับ) แก่ BTSC 9,675.42 ล้านบาท (79,820.40-70,144.98) 

 

2. การประมูล ครั้งที่ 2

หลังจากการประมูล ครั้งที่ 1 ถูกล้มไปแล้ว รฟม. ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนให้ร่วมลงทุน ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ปรากฏว่ามีเอกชนยื่นข้อเสนอ 2 ราย ได้แก่ (1) BEM และ (2) ITD Group ซึ่งประกอบด้วย ITD และ Incheon Transit Corporation หรือ ITC ผู้เดินรถไฟฟ้าจากเกาหลี ส่วน BTSC ไม่สามารถยื่นข้อเสนอได้ เพราะหาผู้รับเหมามาเป็นผู้ร่วมยื่นข้อเสนอไม่ได้ เนื่องจากมีการปรับแก้คุณสมบัติของผู้รับเหมาให้ผ่านเกณฑ์ยากขึ้นกว่า ครั้งที่ 1

ก่อนหน้าที่ BTSC จะเปิดซอง “ข้อเสนอการลงทุน และผลตอบแทน” ของตนเองนั้น รฟม. ได้เปิดซองดังกล่าวของ BEM และของ ITD Group พบว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนสุทธิ (เงินที่ รฟม. ต้องสนับสนุน หักด้วย เงินตอบแทนที่ รฟม. ได้รับ) แก่ BEM 78,287.95 ล้านบาท และให้แก่ ITD Group 102,635.66 ล้านบาท ส่งผลให้ BEM เป็นผู้ชนะการประมูล เนื่องจาก รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนสุทธิน้อยกว่านั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม รฟม. ไม่ได้เปิดเผยจำนวนเงินตอบแทนที่ BEM เสนอให้แก่ รฟม. และจำนวนเงินที่ BEM ขอรับเงินสนับสนุนจาก รฟม. เพียงแต่เปิดเผยจำนวนเงินที่ รฟม. จะต้องสนับสนุนสุทธิเท่านั้น

3. เป็นไปได้หรือไม่ ถ้าไม่ล้มประมูล ครั้งที่ 1 BTSC จะคว้าชัย ?

ในการประมูล ครั้งที่ 1 ไม่มีการเปิดเผยว่า BEM ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิเท่าไร แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการประมูล ครั้งที่ 2 ซึ่ง BEM ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 78,287.95 ล้านบาท โดยที่แบบการก่อสร้างยังเหมือนเดิม ราคากลางค่าก่อสร้างก็ยังเท่าเดิม อีกทั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับการประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง ซึ่ง BEM ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิสูงกว่า BTSC นับแสนล้านบาท ทำให้เกิดคำถามดังนี้ 
(1) ในการประมูล ครั้งที่ 1 เป็นไปได้หรือไม่ ? ที่ BEM จะขอรับเงินสนับสนุนสุทธิต่ำกว่า BTSC ซึ่งขอ 9,6758.42 ล้านบาท

(2) ในการประมูล ครั้งที่ 1 เป็นไปได้หรือไม่ ? ที่ BTSC ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ก่อสร้าง และให้บริการเดินรถไฟฟ้าในเมืองไทย และโชกโชนกับการประมูลโครงการขนาดใหญ่ด้านขนส่งมาหลายโครงการ จะไม่ผ่านการพิจารณาข้อเสนอด้านคุณสมบัติ และข้อเสนอด้านเทคนิค 
หากเป็นไปไม่ได้ กรณีไม่ล้มการประมูล ครั้งที่ 1 อาจเป็นไปได้ที่ BTSC จะชนะการประมูล ! 

4. ผลต่างเงินสนับสนุนสุทธิเพิ่มจาก 6.8 หมื่น เป็น 7.5 หมื่น ?

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 รฟม. แถลงข่าวผลการประมูล ครั้งที่ 2 ว่า BEM ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 78,287.95 ล้านบาท ผมได้เปรียบเทียบกับการประมูล ครั้งที่ 1 ซึ่ง BTSC ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 9,675.42 ล้านบาท พบว่าเงินสนับสนุนสุทธิที่ BEM ขอในการประมูล ครั้งที่ 2 มากกว่าเงินสนับสนุนสุทธิที่ BTSC ขอในการประมูล ครั้งที่ 1 ถึง 68,612.53 ล้านบาท

แต่ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม 2565 รฟม. ชี้แจงผลการประมูล ครั้งที่ 2 ระบุว่า BEM ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 85,432 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขใหม่ ไม่เหมือนเดิม ไม่มีการชี้แจงว่า ทำไมเงินสนับสนุนสุทธิจึงเปลี่ยนไป ? ทำให้ผลต่างเงินสนับสนุนสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 75,756.58 ล้านบาท 

5. สรุป 

เดิมเราแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่า การประมูล ครั้งที่ 2 มีเงินสนับสนุนสุทธิมากกว่าครั้งที่ 1 ถึง 68,612.53 ล้านบาท มาบัดนี้ถ้าผลต่างพุ่งขึ้นเป็น 75,756.58 ล้านบาท เราจะไม่ช็อกจนหมดสติกันหรือครับ ? 

หมายเหตุ : ข้อสงสัยดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผม และประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์