ทาสแมว-หมา พุ่งแรง พร้อมเปย์ ไม่อั้น ดันอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโตมหาศาล

ทาสแมว-หมา พุ่งแรง พร้อมเปย์ ไม่อั้น ดันอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโตมหาศาล

ไทยเตรียมขยับส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงขึ้นแท่น เบอร์ 1 ของโลก หลังมูลค่าการส่งออกปีละ 6.5 หมื่นล้านบาท เผยจุดแข็งไทยต้นทุนผลิตต่ำ เชี่ยวชาญอาหารสัตว์เลี้ยง แถมได้แต้มต่อจากเอฟทีเอ

กระแสการเลี้ยงสัตว์ได้รับความนิยมมากขึ้น ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอยู่บ้านมากขึ้นใช้ชีวิตแบบใหม่  หรือ New Normal  จากเดิมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้เพียงเพื่อแก้เหงาเท่านั้นแต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสมาชิกของครอบครัว โดยได้รับการดูแลเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งในครอบครัว โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงอย่างหมาและแมว จนมีคำกล่าวที่ว่า “ทาสหมา ทาสแมว” ปัจจุบันปริมาณการเลี้ยงสัตว์นี้มีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเมื่อสัตว์เลี้ยงกลายเป็นสมาชิกของครอบครัว การดูแลเอาใจใส่  การให้อาหารที่ดีสำหรับสุขภาพ  ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงขยายและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ”อาหารสัตว์เลี้ยง "

จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์  ระบุว่า ว่า   อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงถือเป็นสินค้าดาวรุ่งของประเทศไทยที่นำรายได้เข้าประเทศจากการส่งออก ประมาณปีละ 65,000 ล้านบาท โดย  9 เดือนแรกของปีนี้คือตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ย.มูลค่าส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยสูงถึง 74,975.65 ล้านบาท  ขยายตัว 34.41%   แยกเป็นอาหารสุนัขและแมว 65,279.63 ล้านบาท     ขยายตัว 41.05  % อาหารสัตว์อื่นๆ9,696.02    ล้านบาท ขยายตัว   2.06  % โดยการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ มีมูลค่าสูงที่สุด 21,520.36 ล้านบาท  ขยายตัว 59.11% รองลงมาเป็นญี่ปุ่น อิตาลี มาเลเซีย ออสเตรเลีย 

ล่าสุด ไทยการจัดงาน Pet Fair South East Asia (SEA) 2022   ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้า และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่อาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ สุขภาพสัตว์ ตลอดจนการบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมทั้งยังเป็นงานเจรจาธุรกิจแบบ Business-to-Business  ซึ่งถือเป็นงานเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จัดขึ้น มีผู้เข้าร่วม 150 บริษัท 35 ประเทศ 3 วันคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย สร้างมูลค่าซื้อขายทันทีไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาท 

ทาสแมว-หมา พุ่งแรง พร้อมเปย์ ไม่อั้น ดันอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโตมหาศาล

“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  แสดงความมั่นใจว่า  ด้วยศักยภาพของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงของไทย จะทำให้ไทยขึ้นแป้นครองเบอร์ 1 ของโลกการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง จากปัจจุบันที่ไทยอยู่ในอันดับ 3 ของโลก รองจากเยอรมันและอเมริกา เพราะอาหารสัตว์เลี้ยงไทยมีคุณภาพ มาตรฐานปลอดภัยและระบบการผลิตที่สร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยตอบสนองต่อตลาดทั้งระดับกลางและระดับบนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ functional food ที่สามารถส่งเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยงเฉพาะทาง เป็นพัฒนาการของอาหารสัตว์เลี้ยงไทยที่สนองตอบต่อความต้องการของตลาดโลกและผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่รักสัตว์เลี้ยงเสมือนบุคคลในครอบครัวของตนเอง 

ปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้อาหารสัตว์เลี้ยงของไทยได้รับความนิยมจากทั่วโลกมาจากประเทศไทยสามารถผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับตลาดระดับกลางถึงระดับบน (Premium) ที่มีคุณภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพด้านต่างๆ อย่างเฉพาะเจาะจง หรือ Functional Foodทำให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า จากทั่วโลกมีความมั่นใจในคุณภาพ และความปลอดภัยในอาหารสัตว์เลี้ยง 

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ  กล่าวว่า  จุดแข็งของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย  คือ 1. ไทยมีต้นทุนทางการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญ โดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงาน 2. ไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิต เนื่องจากการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงบางส่วนขยายกิจการ เพิ่มสายการผลิตมาจากการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ทำให้ผู้ผลิตสามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญทั้งด้านการผลิตและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการเพิ่มสายการผลิตยังทำให้เกิดการประหยัดอีกด้วย (Economies of Scope) 

ทาสแมว-หมา พุ่งแรง พร้อมเปย์ ไม่อั้น ดันอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโตมหาศาล

 3. ประเทศผู้นำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกส่วนมากเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูง หรือรายได้ต่อหัวสูง รวมทั้งมีมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์สูง ทำให้เต็มใจจ่ายในสินค้าที่ราคาและคุณภาพระดับพรีเมียม 

 4. ไทยได้ประโยชน์จากการเติบโตการนำเข้าของประเทศสำคัญ พบว่าการนำเข้าของสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ และเยอรมนี มีการเติบโตได้สูงกว่าประเทศอื่นๆ และส่วนแบ่งตลาดของไทยยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย 

 5. ด้านภูมิศาสตร์ “ใกล้ไกลไทยไม่เสียเปรียบ” ในตลาดคู่ค้าสำคัญ โดยจากการศึกษาบ่งชี้ว่าตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ระยะทางของคู่ค้าไม่ส่งผลต่อการนำเข้า ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใกล้กว่าไทย

 6. ไทยทำให้เกิดการผูกขาดในตลาดสำคัญและป้องกันการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งอื่นๆ โดยในตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูง รวมทั้งลักษณะตลาดเริ่มเข้าสู่การแข่งขันน้อยรายทำให้ประเทศคู่แข่งไทยเจาะตลาดได้ยาก 7. ประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญของไทยยังคงนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด - 19 โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น 

สำหรับแนวทางการผลักดันสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยได้วางไว้ 4 ยุทธศาสตร์คือ 1.สินค้าเก่ารุกตลาดดาวรุ่ง จะผลักดันให้เร่งขยายการส่งออกไปจีน และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดจีน ซึ่งในปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 ของจีน 2.เพิ่มสินค้าระดับพรีเมียม เน้นวัตถุดิบภายในประเทศ ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม เพื่อจะเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออก และเปลี่ยนการส่งออกที่เน้นแข่งขันด้วยราคา โดยให้ความสำคัญต่อคุณค่าทางอาหารที่สูงขึ้น สร้างความแตกต่างจากอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเดิม  

3. สร้างความเข้มแข็งภาคบริการจากภายใน เพื่อต่อยอดสู่การส่งออกบริการ จะเน้นการสร้างความเข้มแข็งด้านความเชี่ยวชาญการดูแลสัตว์อย่างครบวงจรภายในประเทศ 4. ส่งเสริมดิจิทัล คอนเทนต์เรื่องสัตว์เลี้ยง เพราะการเติบโตของตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ทำให้มีความต้องการเนื้อหาของสื่อเพื่อความบันเทิงในหลายด้าน รวมทั้งเนื้อหาที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูง 

ข้อตกลงการค้าเสรีหรือ FTA ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย โดยปัจจุบันสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยทุกรายการไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าใน 15 ประเทศที่ไทยมี FTA ด้วย ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง มีเพียงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังคงการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในบางรายการสินค้า”รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว 

จากปัจจัยและกลยุทธ์ที่วางไว้ บวกกับคุณภาพสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยที่ได้รับความน่าเชื่อถือ อีกทั้งแนวโน้มความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมว จะเป็นแรงส่งให้ไทยสามารถนั่งครองบัลลังก์ผู้ส่งออกอาหารสัตว์อันดับ 1 ของโลกได้ไม่ยาก