ดาวโจนส์เข้าสู่ภาวะตลาดหมี ดิ่ง 458 หลังสหรัฐเผยจีดีพีหดตัว 2 ไตรมาสติด

ดาวโจนส์เข้าสู่ภาวะตลาดหมี ดิ่ง 458 หลังสหรัฐเผยจีดีพีหดตัว 2 ไตรมาสติด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(29ก.ย.)ดิ่งลง 458 จุด หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หดตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 458.13 จุด หรือ 1.54% ปิดที่ 29,225.61 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 78.57 จุด หรือ 2.11% ปิดที่ 3,640.47 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 314.13 จุด หรือ 2.84%  ปิดที่ 10,737.51 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ เข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) หลังจากทรุดตัวลงกว่า 20% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนม.ค. นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 7% จากต้นเดือนก.ย. ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 7.5% และ 8.4% ตามลำดับ

สถาบันวิจัย CFRA ระบุว่า สถิติบ่งชี้ว่า เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี ทั้งยังระบุว่า ปีนี้ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐ จะทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยิ่งมีแนวโน้มดิ่งลงในเดือนก.ย. เนื่องจากนักลงทุนมักทำการเทขายหุ้นอย่างหนักในเดือนก.ย.และต.ค.ในปีเลือกตั้ง ก่อนที่จะกลับเข้าซื้อหุ้นในไตรมาส 4

หุ้นทุกกลุ่มในตลาดปรับตัวลงในวันนี้ นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ส่วนดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้น 10.40% สู่ระดับ 33.32 จุดในวันนี้

ราคาหุ้นแอ๊ปเปิ้ลร่วงลงกว่า 4% หลังสื่อรายงานว่าทางบริษัทได้ยกเลิกแผนการเพิ่มการผลิต iPhone 14 เนื่องจากความต้องการในตลาดต่ำกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.6% ในไตรมาสดังกล่าว ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ขณะที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่า เศรษฐกิจหดตัว 0.9%

ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.6% ในไตรมาส 1
การที่เศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การบรรลุภารกิจในการควบคุมเงินเฟ้อของเฟด อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และเขาจะยังไม่พิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
   นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการกลับมาแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในวันนี้
   ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 500 จุดวานนี้ โดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ประกาศรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยไม่จำกัดจำนวนเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาด
   อย่างไรก็ดี การกลับมาแข็งค่าของดอลลาร์ในวันนี้ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองด้วยนั้น ทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับต้นทุนในการชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียน

นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลว่าการเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งในวันนี้จะเป็นปัจจัยหนุนการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ราย สู่ระดับ 193,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 213,000 ราย

นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ

ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 29,000 ราย สู่ระดับ 1.35 ล้านราย