“พลังงาน” ชี้หากราคาดีเซลโลกลด จ่อขยับราคาลงอย่างน้อยลิตรละ 50 สตางค์

“พลังงาน” ชี้หากราคาดีเซลโลกลด จ่อขยับราคาลงอย่างน้อยลิตรละ 50 สตางค์

“กองทุนน้ำมัน” ระบุ หากราคาดีเซลโลกลดลงต่อเนื่อง มีโอกาศปรับลดดีเซลลงอย่างน้อยลิตรละ 50 สตางค์ เผยการขยายกรอบกรอบวงเงินกู้เป็น 1.5 แสนล้าน ยังเป็นวาระลับที่ต้องรอครม.อนุมัติ เดินหน้ากู้ก้อนแรก 2 หมื่นล้าน ชี้สงครามรัสเซีย-ยูเครน ป่วนทำติดลบกว่า 1.2 แสนล้าน

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า สกนช. ได้ปรับแผนวิกฤติด้านน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปี โดยปรับครั้งที่ 1 การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้ (จำนวนเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท) แล้วต้องไม่เกินจำนวน 40,000 ล้านบาท ตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562

และมีการปรับครั้งที่ 2 กรณีฐานะกองทุนน้ำมันใกล้ติดลบหากระดับราคายังอยู่ในระดับวิกฤติ จนส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำมันติดลบตามมาตรา 26 (2) หรือ (3) แห่งพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะเมื่อใกล้วงเงินกู้ยืมเงินที่ได้รับตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว ให้เริ่มดำเนินการพิจารณากลยุทธ์การถอนกองทุนน้ำมัน โดยปรับสัดส่วนการช่วยเหลือลงครึ่งหนึ่ง และยังคงดำเนินการหารือเรื่องการปรับลดภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ระดับราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก และเริ่มดำเนินการกู้เงินเพื่อให้กองทุนน้ำมันไม่ขาดสภาพคล่อง รวมทั้งขยายกรอบวงเงินกู้จาก 20,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการขอขยายกรอบวงเงินกู้เป็น 150,000 ล้านบาท

“การขอขยายกรอบขยายวงเงินกู้ที่ได้มีการขอไปที่ 170,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมกับวงเงินกู้ 150,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ระหว่างครม. หารือในชั้นลับ ถึงแม้ว่าจะผ่านครม.แล้วหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายก็ต้องขอความเห็นชอบจากสภาอีกครั้ง ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรอีกหรือไม่ก็ยังไม่ทราบได้ ดังนั้น ปัจจุบันสกนช.จะยังใช้กรอบ 30,000 ล้านบาทก่อน และคงกู้ก้อนแรก 20,000 ล้านบาทก่อน เพราะมองว่าช่วง 4 เดือนต่อจากนี้คือตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 - ก.พ. 2566 กองทุนน้ำมันจะใช้เงินอุดหนุนราคาน้ำมันที่ระดับ 2-3 หมื่นล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2565 มีมติให้เรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันดีเซลเข้ากองทุนลิตรละ 1.15 บาท เนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับลดลง (เป็นครั้งที่ 3 ในปี 2565 ที่เรียกเก็บเงินเข้ากองทุน) โดยจะช่วยให้กองทุนฯ เริ่มมีเงินไหลเข้า 71.10 ล้านบาทต่อวัน มีรายได้เข้ามาเดือนละประมาณ 2 พันล้านบาท แต่ต้องจ่ายออกให้กับคู่ค้ามาตรา 7 ราว 5-7 พันล้านบาท ส่วนการหารือกับกลุ่มโรงกลั่นก็ยังมีการหารืออย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ การเก็บเงินเข้ากองทุนส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมรองรับกรณีหมดอายุมาตรการลดภาษีดีเซลลิตรละ 5 บาทของกระทรวงการคลัง ในวันที่ 20 พ.ย. 2565 นี้ โดยหากกระทรวงการคลังไม่ต่ออายุลดภาษีดีเซล จะส่งผลให้ราคาดีเซลต้องขยับขึ้นถึงลิตรละ 5 บาท จากปัจจุบันราคาดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 34.94 บาท ดังนั้น การที่กองทุนน้ำมันเรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซล จะสามารถนำมาบริหารจัดการไม่ให้ราคาดีเซลขยับขึ้นถึง 5 บาทต่อลิตรได้

“ปีงบประมาณ 2565 บัญชีการเงินของเดือน ก.ย. 2564 เรามีเงินจากบัญชีน้ำมันที่ 2.1 หมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบันติดลบ 82,674 ล้านบาท ถือว่าได้ใช้เงินอุดหนุนเฉพาะน้ำมัน 111,540 ล้านบาท โดยประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันวันที่ 25 ก.ย. 2565 ติดลบ 124,216 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 82,674 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 42,542 ล้านบาท โดยที่มีเงินช่วยเหลือ ด้านราคาก๊าซจากกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เข้ามาเติม 1,000 ล้านบาท”

ทั้งนี้ หากสัปดาห์หน้าราคาดีเซลโลกลดลง ก็อาจจะมีการปรับราคาลงต่ำกว่าลิตรละ 34.94 บาท แต่จะเทียบว่าราคาตลาดโลกควรเท่าไหร่จะต้องดูอัตราเรียกเก็บเราด้วย เพราะมีอัตราดอกเบี้ยด้วย เพราะต้องเอาเงินไปใช้หนี้คู่ค้ามาตรา 7 และใช้หนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย ดังนั้น หากจะปรับลงราคาลงจะเป็นในรูปแบบค่อย ๆ ลงแบบขั้นบันไดในระดับลิตรละ 50 สตางค์ หรือ 1 บาท

ส่วนการพิจารณาราคาน้ำมันเบนซินนั้น จะขอดูในบางจังหวะ เพราะปกติจะให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่หากบางจังหวะทำได้ก็อาจเรียกเก็บเงินเข้ากองทุน ซึ่งในเดือนก.ย. 2565 จะเห็นว่าราคาเบนซินลดลงลิตรละกว่า 4 บาทเพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ แต่หากมีจังหวะที่ราคาลงมาก ๆ ก็อาจขอแบ่งก็เป็นไปได้

นอกจากนี้ มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2565 ให้กลับจำหน่ายน้ำมันดีเซลเป็น 3 เกรดเช่นเดิม ได้แก่ ดีเซล B7 , B10 และ B20 จากเดิมที่กำหนดให้จำหน่ายเพียงเกรด B5 เท่านั้น (หรือเป็นการเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์(B100) จาก 5% ในทุกลิตร (B5) เป็น 7% หรือ B7 ในทุกลิตร) มีผล ตั้งแต่ 10 ต.ค.-31 ธ.ค. 2565 ซึ่งจากการพิจารณาพบว่าจะทำให้ต้นทุนราคาดีเซลที่แท้จริง (ไม่รวมภาษี) ขยับขึ้นเพียง 10 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น