กรมชลหวั่นฝนทะลักคลองเล็ก ยันน้ำเหนือยังไม่หนุน ขณะ กฟผ. เล็งปิดระบายน้ำ

กรมชลหวั่นฝนทะลักคลองเล็ก ยันน้ำเหนือยังไม่หนุน ขณะ กฟผ. เล็งปิดระบายน้ำ

กรมชลฯ ยืนยัน 4 เขื่อนหลักระบายน้ำน้อย ห่วงฝนตกหนักท่วมภาคกลาง ล้นคลองเล็กกระทบประชาชน เร่งสูบลงคลองรังสิต ผันสู่บางปะกงลงทะเล กฟผ.เล็งปิดระบายน้ำ "ภูมิพล-สิริกิติ์" ชี้มีน้ำจุแค่ 55 % นักวิชาการ ลั่นไม่ซ้ำรอยปี 54

นายธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ ววน.เสริมทัพรับมือน้ำท่วม” ว่า ลุ่มเจ้าพระยาเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำแต่ไม่มีแหล่งน้ำเป็นของตนเอง ดังนั้น จึงมีปัญหาทุกปีทั้งปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ซึ่งกรมชลประทาน มีหน้าสำคัญที่จะบริหารจัดการน้ำในลุ่มเจ้าพระยา โดยน้ำที่ส่งผลกระทบกับพื้นที่ดังกล่าวแบ่งได้ เป็น 3 ประเภท คือ 

  1. น้ำฝน
  2. น้ำทะเลหนุน
  3. น้ำที่ไหลมาจากภาคเหนือ

ซึ่งในที่นี้หมายถึงน้ำที่ปล่อยจาก 4 เขื่อนหลัก ภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์

 

กรมชลหวั่นฝนทะลักคลองเล็ก ยันน้ำเหนือยังไม่หนุน ขณะ กฟผ. เล็งปิดระบายน้ำ

กรมชลหวั่นฝนทะลักคลองเล็ก ยันน้ำเหนือยังไม่หนุน ขณะ กฟผ. เล็งปิดระบายน้ำ

ปัจจุบันสภาพปัญหาพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา รวมทั้งกรุงเทพฯ คือ น้ำท่วมที่เกิดจากน้ำฝนที่ตกหนักมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ปริมาณน้ำท่า คลองต่างๆมีปริมาณสูงขึ้น 

ในขณะที่ กทม.มีน้ำท่วมขังเป็นบางจุด กรมชลประทานได้เข้ามาช่วยเร่งระบายน้ำร่วมกับ กทม. เพื่อให้ออกสู่ทะเลเร็วที่สุด ด้วยวิธีการผันน้ำออกฝั่งซ้ายและขวา ของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่หลักๆ จะออกทางฝั่งซ้ายคือทิศตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ด้วยการผันน้ำเข้าทั้งคลองชั้นนอก กทม.และคลองชั้นใน กทม. 

สำหรับคลองชั้นนอก คือ คลองรังสิต ซึ่งมีประตูระบายน้ำรังสิตประยูรศักดิ์ และประตูระบายน้ำเสาวภาผ่องศรี เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการสูบลงแม่น้ำบางปะกงเพื่อออกทะเล

อย่างไรก็ตามเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกหนักเกินค่าเฉลี่ยโดยวัดได้ที่ห้างสรรสินค้าเซียร์รังสิต เมื่อวันที่ 8-9 ก.ย.2565 มากถึง 149 มิลลิเมตร และตกช่วงเวลาสั้นส่งผลให้มีปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่ถึง 16 ล้าน ลบ.ม.ขณะที่การระบายน้ำออกทั้งคลองรังสิตทำได้เพียง 6-7 ล้าน ลบ.ม.ทำให้ยังเหลือน้ำค้างในพื้นที่และใช้ระยะเวลาระบายออกอย่างน้อย1-2 วัน ซึ่งปัจจุบันน้ำลดลงแล้ว

ส่วนคลองด้านใน กทม.ที่เป็นคลองรอยต่อ คือ คลองหกวาและคลองแสนแสบ โดยกรมชลประทานได้สูบออกเต็มกำลัง 60 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อลงคลองบางขนากเพื่อลงสู่แม่น้ำบางปะกงและออกทะเล แต่ด้วยสภาพแม่น้ำบางปะกงที่อยู่สูงกว่าเขตกรุงเทพฯ การสูบน้ำออกจำนวนมากจะส่งผลกระทบได้ การดำเนินการระบายน้ำจึงต้องทำสอดคล้องกัน ปัจจุบันการสูบน้ำลงแม่น้ำบางปะกง รวมทั้งคลองชายทะเลต่างๆ มีประมาณ 50 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน

กรมชลหวั่นฝนทะลักคลองเล็ก ยันน้ำเหนือยังไม่หนุน ขณะ กฟผ. เล็งปิดระบายน้ำ

สำหรับทิศตะวันตก กรมชลประทานได้ผันน้ำลงแม่น้ำน้อย ผ่านประตูระบายน้ำบรมธาตุ 30 ล้าน ลบ.ม. และแม่น้ำท่าจีน ที่ประตูระบายน้ำพลเทพ รวม 20 ล้าน ลบ.ม. เพื่อออกทะเลที่ จ. สมุทรสาคร ในขณะที่ยังไม่มีการระบายน้ำเข้าทุ่งพระยาบันลือแต่อย่างใด เพราะยังไม่มีความจำเป็น และการระบายน้ำเข้าทุ่งดังกล่าวจะส่งผลให้น้ำท่วมทั้งอำเภอบางบัวทอง จ.นนทบุรี

“ทั้งหมดนี้เป็นการบริหารจัดการที่ใช้รับมือกับน้ำฝนที่ตกหนักในช่วงที่ผ่านมา ในกรณีที่ยังไม่มีฝนตกลงมาซ้ำ การระบายน้ำจะเข้าสู่ภาวะปกติใน 1-2 วันนี้ แต่จากที่กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าจะยังมีฝนตกหนักในเขตนี้นั้น มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดน้ำท่วมขังในบางจุด แต่จากสภาพคลองใหญ่ๆ ที่พร่องน้ำไปบางแล้วคาดว่าจะรับมือได้ ที่น่าเป็นห่วงคือคลองเล็กๆที่ไม่มีเครื่องมือระบายน้ำตั้งอยู่ จะมีปัญหาน้ำล้นฝั่งและกระทบกับประชาชน“

 

น้ำเหนือใน 4 เขื่อนหลัก

ปัจจุบันมีการระบายน้อยมาก เนื่องจากปริมาณน้ำรวมทั้งหมดมีเพียง 56% หรือ 1.3 หมื่นล้าน ลบ.ม.รับน้ำได้อีก 1 หมื่นล้าน ลบ.ม. ยกเว้นเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีมากเกือบเต็มความจุอ่างฯ ต้องระบายออก เพราะเป็นเขื่อนขนาดเล็กมีความจุอ่างละ 1,000 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2565 

- เขื่อนภูมิพล มีปริมาตรน้ำ 7,437 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 55 % ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ 3,637 ล้าน ลบ.ม.หรือ 38% รับน้ำได้อีก 6,025 ล้าน ลบ.ม.

- เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 5,580 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 59 % ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ 2,730 ล้าน ลบ.ม. หรือ 41% รับน้ำได้อีก 3,930 ล้าน ลบ.ม.

- เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาตรน้ำ 680 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 72% ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ 637 ล้าน ลบ.ม. หรือ 71% รับน้ำได้อีก3,930 ล้าน ลบ.ม.

- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตรน้ำ 337 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 35% ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ 334 ล้าน ลบ.ม.หรือ 35% รับน้ำได้อีก 623 ล้าน ลบ.ม.

ทั้งนี้การบริหารจัดการน้ำที่ปล่อยจาก 4 เขื่อนหลัก จะผ่านสถานีน้ำที่สำคัญ 2 แห่งคือ

- สถานี C2 ที่นครสวรรค์ ปัจจุบันที่การระบายน้ำผ่าน 1,773 ลบ.ม.ต่อวินาที เทียบกับปี 2554 ที่มีน้ำผ่าน 3,200 ลบ.ม. ต่อวินาที

- สถานี C 29 ที่บางไทร ปัจจุบันมีน้ำไหลผ่าน 1,806 ลบ.ม.ต่อวินาที เทียบกับปี 54 ที่มีน้ำไหลผ่าน 3,500 ลบ.ม.ต่อวินาที

น้ำจากทั้ง 2 สถานีจะไหลเข้าสู่เขื่อนเจ้าพระยาที่ C 13 จ.ชัยภูมิ เป็นตัวทดน้ำ ระบายลงเจ้าพระยา ตามปริมาณที่สอดคล้องกับน้ำเหนือเขื่อน และตามความจำเป็นของการใช้น้ำ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการอุปโภค บริโภค รักษาระบบนิเวศ หรือแก้ปัญหาน้ำทะเลหนุน ปัจจุบันที่มาการระบาย 1,698 ลบ.ม.วินาที เท่านั้น

“จะเห็นได้ว่าน้ำจากเขื่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะกรมชลประทานต้องการหน่วงน้ำและเก็บไว้ใช้ในช่วงแล้งให้มากที่สุด โดยคาดว่าในวันที่ 1 พ.ย. นี้จะสามารถเก็บน้ำที่ใช้การได้ใน 4 เขื่อนหลัก ดังกล่าว ประมาณ 9,000-10,000 ล้าน ลบ.ม.ปัจจุบันเก็บได้แล้ว 7,700 ล้าน ลบ.ม. เท่ากับปริมาณที่เก็บได้ในปีที่ผ่านมา

โดยปริมาณน้ำดังกล่าวคาดว่าเพียงพอจะสนับสนุนให้ทำนาปรังในเขตชลประทานได้ 4 ล้านไร่ แต่ทุกปีจะเกินกว่าที่กำหนด เคยสูงสุดมีมากถึง 11 ล้านไร่ ซึ่งต้องขอความร่วมมือกับชาวนาไม่ให้ขยายพื้นที่เพราะยังเสี่ยงต่อการขาดน้ำ”

นายไชยพงษ์ เทพประสิทธิ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าวว่า จากสภาพน้ำในเขื่อนขณะนี้ คาดว่ากรมชลประทานจะบริหารจัดการได้ และมั่นใจว่าน้ำจะไม่เข้าท่วม กทม.เหมือนปี 2554 อย่างแน่นอน

เนื่องจากน้ำเหนือไม่ได้อยู่ในขั้นวิกฤติ โดย พิจารณาจากการปล่อยน้ำ สถานี C2 คาดว่าตลอดฤดูฝนนี้จะมีน้ำไหลผ่านไม่เกิน 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที จากปี 2554 ที่มีน้ำไหลผ่านเต็มศักยภาพ 3,590 ลบ.ม. ต่อวินาที สถานีC29 เพื่อปล่อยน้ำเข้าเขื่อนเจ้าพระยาและพระราม 6 มีน้ำไหลผ่าน เพียง 2,300 ลบ.ม. เทียบกับปี 54 ที่มีน้ำไหลผ่านเต็มศักยภาพ 3,500 ลบ.ม. ต่อวินาที

นางวันเพ็ญ แก้วแกมทอง หัวหน้ากองจัดการทรัพยากรน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล และสิริกิติ์ ยังมีอยู่น้อย ซึ่ง กฟผ.ต้องการปิดการระบายด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากมีบางพื้นที่ ที่ต้องการน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคทำให้ยังต้องระบายอยู่ แต่ในปริมาณที่น้อยมาก ส่วนเขื่อนอุบลรัตน์และสิรินธรที่มีน้ำมากจำเป็นต้องระบายออก

เขื่อนสิรินธรมีปริมาตรน้ำ 1,439 ล้าน ลบ.ม. หรือ 73.24 % ของความจุ เป็นน้ำใช้การได้ 608 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ำไหลเข้า 11.10 ล้าน ลบ.ม. และระบาย 10.39 ล้าน ลบ.ม.

เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาตรน้ำ 1,360 ล้าน ลบ.ม. หรือ 55.96 % ปริมาณน้ำที่ใช้การได้ 779 ล้าน ลบ.ม.ปริมาตรน้ำไหลเข้า 60.31 ล้าน ลบ.ม. ปริมาตรน้ำระบายออก 17.52 ล้าน ลบ.ม.