สิ้นสุดการรอคอย! กฎหมายสนับสนุนพลังงานสะอาดของ Joe Biden ผ่านสภาสหรัฐฯ

สิ้นสุดการรอคอย! กฎหมายสนับสนุนพลังงานสะอาดของ Joe Biden ผ่านสภาสหรัฐฯ

"พลังงานสะอาด" หนึ่งในนโยบายที่ Joe Biden ผลักดันมาตลอด จนเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ร่างกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านสภาสหรัฐฯ นับเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญ ดึงดูดบริษัทใหญ่หันมาสนใจธุรกิจกลุ่มพลังงานสะอาดด้วยเม็ดเงินลงทุนมหาศาล หนุนธุรกิจเชิงโครงสร้างเติบโตยั่งยืนในระยะยาว

ตั้งแต่ช่วงที่นาย Joe Biden เริ่มหาเสียงในช่วงปลายปี 2020 หนึ่งในนโยบายที่พยายามผลักดันมาโดยตลอดคือ "นโยบายสนับสนุนด้านพลังงานสะอาด" ซึ่งที่ผ่านมามีการเสนอร่างกฎหมายอยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล จนในท้ายที่สุดเมื่อวันที่ 12 ส.ค.2022 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ผ่านสภา และประธานาธิบดี Joe Biden ได้ลงนามอนุมัติในวันที่ 16 ส.ค. 2022 โดยใช้ชื่อว่ากฎหมาย "Inflation Reduction Act" โดยกฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักชัดเจนในการที่จะช่วยเหลือประชาชน จากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ที่หลักๆ เป็นผลมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งส่งผ่านไปยังราคาสินค้า และบริการ โดยกฎหมายนี้จะเน้นใช้งบประมาณไปกับเรื่องการสนับสนุนธุรกิจพลังงานสะอาด เพื่อให้ประชาชนมีต้นทุนพลังงานที่ต่ำลงในระยะยาว รวมถึงลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยอนุญาตให้ระบบประกันสุขภาพของภาครัฐมีอำนาจต่อรองราคากับบริษัทยาได้ ซึ่งประเด็นนี้มีการผลักดันมาเป็นระยะเวลาหลายปี และเพิ่งจะมาสำเร็จในยุคของ Joe Biden ในท้ายที่สุดกฏหมายฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลลดการขาดดุลโดยรวมได้ถึง $300 พันล้านเหรียญ 

  • กฎหมายสู้เงินเฟ้อที่เม็ดเงินส่วนใหญ่ใช้สนับสนุนธุรกิจพลังงานสะอาด

ในส่วนของการลงทุนจะเห็นว่า เม็ดเงินทั้งหมดจะอยู่ที่ $437 พันล้านเหรียญ ซึ่งกว่า 84% หรือ $369 พันล้านเหรียญ จะถูกใช้ในเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) เรียกได้ว่าส่วนอื่นๆ แทบจะไม่มีบทบาทกับกฎหมายฉบับนี้เท่าไรนัก หากลงลึกไปในรายละเอียดดูเหมือนว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดได้ประโยชน์กับเรื่องนี้ไปเต็มๆ โดยภาคครัวเรือนก็จะได้เครดิตภาษีคืนจากการใช้จ่าย เช่น การซื้อรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน รวมถึงการปรับปรุงบ้านให้มีการประหยัดพลังงานมากขึ้น ก็จะได้รับเงินคืนกว่า 50% ของราคาเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ประหยัดพลังงานอีกด้วย สำหรับภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ ขั้วแบตเตอรี่ รวมถึงระบบกักเก็บพลังงานเคมีไฟฟ้าต่างๆ ที่ถูกประกอบในภูมิภาคอเมริกาเหนือ หรือประเทศที่เป็นภาคีในข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ก็จะสามารถยื่นเพื่อขอคืนภาษีได้เต็มตามที่รัฐกำหนดเช่นกัน 

โดยเม็ดเงินลงทุนทั้งหมดนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ มีเป้าหมายระดมทุนทั้งสิ้น $737 พันล้านเหรียญ ในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่มาจากการกำหนดเกณฑ์ภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% สำหรับบริษัทที่มีกำไรเกิน $1 พันล้านเหรียญ ในรอบปีบัญชี และจากการปฏิวัติราคายา โดยอนุญาตให้ระบบประกันสุขภาพของภาครัฐ (Medicare) สามารถต่อรองราคายา โดยจะเริ่มต้นในปี 2026 จากตัวยา 10 ชนิดที่มีราคาแพง ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐประหยัดเงินส่วนนี้ไปได้มากถึง $265 พันล้านเหรียญ ในอีก 10 ปีข้างหน้า
 
สิ้นสุดการรอคอย! กฎหมายสนับสนุนพลังงานสะอาดของ Joe Biden ผ่านสภาสหรัฐฯ ภาพที่ 1 แสดงแหล่งที่มาของเงินทุน และเม็ดเงินลงทุนของกฎหมาย "Inflation Reduction Act"

  • กระทบกำไรบริษัทจดทะเบียนเล็กน้อย แลกกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้มีการระดมเงินทุนมาจากการเพิ่มภาษีขั้นต่ำของนิติบุคคล รวมถึงได้มาจากการเก็บภาษี 1% จากกิจกรรมการซื้อหุ้นคืน(Share Repurchases) ซึ่งประเด็นนี้ค่อนข้างทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างไร ซึ่งทาง Goldman Sachs ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่า ในส่วนของการเพิ่มภาษีขั้นต่ำของนิติบุคคลนั้น อาจกระทบกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ราว -1% ส่วนของกิจกรรมการซื้อหุ้นคืน (Share Repurchases) อาจจะกระทบกำไรต่อหุ้น (EPS) เพียง -0.5% จากทั้ง 2 ส่วน รวมกันจะกระทบไม่เกิน -2% โดยทั้งหมดจะส่งผลกระทบในปี 2023 หากพิจารณา EPS Growth ทั้งปี 2023 หลังจากหักลบผลกระทบจากกฎหมายดังกล่าวแล้ว นักวิเคราะห์ยังมองว่าจะสามารถเติบโตได้ +7% YoY ซึ่งถือว่าเติบโตได้ในระดับดี ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มีโอกาสถดถอยในระยะข้างหน้า   

  • ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่บริษัทที่มีนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด

การที่รัฐบาลออกกฎหมายมาสนับสนุนโดยตรงแบบนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากกับธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้อง และมีนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด สามารถดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนได้มากขึ้น และจะเป็นการเร่งพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้ได้อย่างก้าวกระโดด ในช่วงที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เริ่มสนใจพัฒนาธุรกิจด้านนี้ ล่าสุด Microsoft และ Alaska Airlines กำลังร่วมพัฒนา น้ำมันเครื่องบินคาร์บอนต่ำ (Clean Jet Fuel) ผ่านบริษัท start up ที่ชื่อว่า Twelve เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับสารเคมี และเน้นเรื่องการวิจัยและพัฒนาน้ำมันเครื่องบินที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำโดยเฉพาะ โดยบริษัทใช้คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และ ไฟฟ้า เป็นองค์ประกอบในการผลิต ซึ่งผลที่ได้คือ น้ำมันเครื่องบิน ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ต่ำกว่าแบบดั้งเดิมถึง 90% ทั้งนี้ โครงการนี้มีเป้าหมายหลักจะพัฒนาไปถึงจุดที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Carbon) ภายในปี 2040 ซึ่งนอกจาก Microsoft แล้ว ยังมีกองทุน Chan Zuckerberg Initiative ซึ่งมีนาย Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Meta (Facebook) เป็นผู้สนับสนุนหลัก ลงทุนในบริษัท Twelve อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดหลังจากกฏหมายนี้ได้รับอนุมัติว่าเป็นการดึงดูดให้บริษัทใหญ่เริ่มสนใจในธุรกิจกลุ่มนี้มากขึ้น    
 
สิ้นสุดการรอคอย! กฎหมายสนับสนุนพลังงานสะอาดของ Joe Biden ผ่านสภาสหรัฐฯ ภาพที่ 2 แสดงรายละเอียดเม็ดเงินสนับสนุนกลุ่มพลังงานสะอาดของกฎหมาย "Inflation Reduction Act" 

กองทุนกลุ่มพลังงานสะอาดปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่กฎหมายฉบับนี้ได้ถูกร่างขึ้นจนได้รับการอนุมัติ หุ้นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ พลังงานสะอาด ต่างก็ปรับขึ้นค่อนข้างแรง ตอบรับความคาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะผ่านสภาและได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดี Joe Biden ทั้งนี้ เรามองว่าปัจจัยหนุนนี้ไม่เพียงแต่จะหนุนธุรกิจกลุ่มนี้ในระยะสั้น แต่หากศึกษารายละเอียดเชิงลึกจะเห็นว่าเม็ดเงินที่สนับสนุนธุรกิจด้านพลังงานสะอาดค่อนข้างมีความครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น เรามองว่ากฎหมายฉบับนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากยุคพลังงานแบบดั้งเดิม ไปสู่ยุคพลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบในทศวรรษหน้า ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า $369 พันล้าน ซึ่งเป็นการลงทุนด้านพลังงาน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นการสนับสนุนธุรกิจเชิงโครงสร้างให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 
 
สิ้นสุดการรอคอย! กฎหมายสนับสนุนพลังงานสะอาดของ Joe Biden ผ่านสภาสหรัฐฯ

ภาพที่ 3 แสดงผลตอบแทนกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานสะอาดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ที่มา: Investopedia, Bloomberg ,Goldman sachs, U.S Senate, Capitol Tax Partner LLP & Bipartisan Policy Center

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ www.tiscoasset.com หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds