IRC 3Q65 รายงานขาดทุนจากต้นทุนวัตถุดิบสูงพร้อมปรับลดประมาณการปี 65 และ 66 ลง

IRC 3Q65 รายงานขาดทุนจากต้นทุนวัตถุดิบสูงพร้อมปรับลดประมาณการปี 65 และ 66 ลง

รายงานขาดทุน 3Q65 ที่ 13 ลบ. พลิกจากกำไรใน 2Q64 และ 1Q65 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงกดดัน : รายงานขาดทุน 3Q65 (เม.ย.-มิ.ย.65) ที่ 13 ลบ. ซึ่งแย่กว่าที่เราคาดไว้ โดยรายได้หดตัว 12%QoQ แต่เติบโต 6%YoY สู่ 1.4 พันลบ.

เนื่องจากยอดการผลิตรถยนต์เดือน เม.ย.-มิ.ย. 65 ปรับตัวลง 19%QoQ แต่เติบโต 3%YoY สู่ 390,033 คัน ขณะที่ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือน เม.ย.-มิ.ย. 65 อ่อนตัวลง 9%QoQ และอ่อนตัว 9%YoY สู่ 445,217 คัน ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์รวมอยู่ที่ 1,804,544 คัน หดตัว 2.4% YoY ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 9.2% ในไตรมาสก่อนสู่ 5.1% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นทั้ง Polymer และ Carbon Black ยังทรงตัวในระดับสูงตามราคาน้ำมัน อีกทั้งความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันทำให้ราคาวัตถุดิบปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะ Carbon Black ด้านอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับตัวขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าสู่ 6.4% เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่แต่รายได้ปรับตัวลง ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไร 9M65 อยู่ที่ 78 ลบ. หดตัว 75%YoY และคิดเป็น 31% ของประมาณการเดิมที่ 247 ลบ.

-  ยอดการผลิตรถยนต์เดือน ม.ค.-มิ.ย.65 เติบโต 3%YoY แต่แนวโน้ม ก.ค.-ก.ย. มีแนวโน้มอ่อนตัว : ยอดการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมเดือน ม.ค.-มิ.ย.65 อยู่ที่ 870,111 คัน และ 934,455 คันเติบโต 3%YoY แต่หดตัว 7%YoY ตามลำดับ และยอดผลิตรถยนต์ในเดือน เม.ย.-มิ.ย. 65 อยู่ที่ 390,033 คัน หดตัว 19%QoQ แต่เติบโต 3%YoY จากปัญหาชิพขาดแคลน ขณะที่ยอดผลิตรถจักรยานยนต์เดือน เม.ย.-มิ.ย. 65 อยู่ที่ 445,217 คันหดตัว 9% ทั้ง QoQ และ YoY ทั้งนี้การผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์เดือน เม.ย.-มิ.ย. 65 อ่อนตัวเนื่องจากปัญหาชิพขาดแคลน โดยปัญหาดังกล่าวคาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงเดือน ก.ค.-ก.ย. 65 ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรมและ IRC ปรับลดการผลิตรถยนต์ปี 65 ลงจาก 1.85 ล้านคันสู่ 1.75 ล้านคัน โดยคาดว่าปัญหาขาดแคลนชิพจะเริ่มคลี่คลายในเดือน ต.ค.-ธ.ค. 65 

 

 

-  ปรับลดประมาณการกำไรปี 65 ลง 56% จากประมาณการเดิม เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ทรงตัวในระดับสูง : ฝ่ายวิจัยปรับลดคาดการณ์รายได้รวมปี 65 จาก 5.65 พันลบ. สู่ 5.46 พันลบ. เพิ่มขึ้น 2% จากปี 64 เนื่องจากสภาอุตสาหกรรมฯ เตรียมปรับลดยอดการผลิตรถยนต์ปี 65 ลง 6%จากประมาณการเดิมสู่ 1.75 ล้านคัน เนื่องจากปัญหาขาดแคลนชิพในการประกอบรถยนต์หลังจีนได้งดส่งทรายดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตชิพให้ไต้หวัน พร้อมกันนี้ได้ปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นจาก 11.5% สู่ 8.0% (GPM 9M65 อยู่ที่ 8.7% และ GPM 3Q65 อยู่ที่ 5.1%) โดยคาดว่า GPM จะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจาก IRC ได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งอื่น อีกทั้งใช้ระบบผลิตอัตโนมัติเพื่อรับมือกับค่าแรงขั้นต่ำที่เตรียมปรับขึ้นในเดือน ก.ย. 65 ส่งผลให้เราปรับลดประมาณการกำไรปี 65 ลงจาก 247 ลบ. เหลือ 108 ลบ. หดตัว 68%YoY โดยกำไร 9M65 คิดเป็น 72% ของประมาณการ  

-  ปรับลดประมาณการกำไรปี 66 ลง 22% จากประมาณการเดิม : เราคงประมาณการรายได้ปี 66 ที่ 5.74 พันลบ. เติบโต 5% เนื่องจากคาดว่าปัญหาชิพขาดแคลนจะคลี่คลายในปีหน้าหากไม่มีสงครามระหว่างจีนและไต้หวัน โดยเรายังคงคาดการณ์ปริมาณการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ปี 66 ที่ 1.91 ล้านคันและ1.94 ล้านคันตามลำดับ อย่างไรก็ตามเราปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลงจาก 13.5% เหลือ 12.5% เพราะคาดว่าราคาวัตถุดิบจะค่อย ๆ ปรับตัวลงตามราคาน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ เราปรับลดประมาณการกำไรปี 66 จาก 340 เหลือ 275 ลบ. ลดลง 19% จากประมาณการเดิม แต่เติบโต 154%จากปี 65

-  คงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 18.60 บาท : ฝ่ายวิจัยปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 66 เนื่องจากงบการเงินของบริษัทสิ้นสุดรอบปีเดือน ก.ย. 65 เราประเมินมูลค่าด้วยวิธี Price to Earnings Ratio (P/E Ratio) โดยอิงค่าเฉลี่ย P/E Ratio ย้อนหลัง 3 ปีที่ 13.0 เท่า โดยปรับใช้กำไรต่อหุ้นปี 66 ที่ 1.43 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 18.30 เพิ่มขึ้นจากราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 17.30 บาทต่อหุ้น  โดยคาดหวัง Yield ปี 65 และ 66 ที่ 2.3% และ 6.8% ตามลำดับ ทั้งนี้ IRC มีจุดเด่นจาก 1) D/E ต่ำเพียง 0.4 เท่า ณ มิ.ย.65 และ 2) มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ (เงินสดราว 1.16 พันลบ. ณ มิ.ย.65) ทั้งนี้ แม้ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานพอสมควร แต่เราคงคำแนะนำ “ถือ” เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันด้านต้นทุน และปัญหาชิปที่ขาดแคลนในปี 65 เป็นปัจจัยชั่วคราวโดยการผลิตรถยนต์ปี 66 จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ 

 

ปัจจัยเสี่ยง

i)    สงครามจีนและไต้หวันกระทบห่วงโซ่อุปทาน
ii)    ราคาน้ำมันและวัตถุดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
iii)    การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ อาทิ ฝีดาษลิง