SFT คาดว่าจะดีขึ้นใน 2H65 (16 ส.ค. 2565)

SFT คาดว่าจะดีขึ้นใน 2H65 (16 ส.ค. 2565)

ถึงแม้ว่ายอดขายของ SFT ใน 1H65 จะโตเพียง 4% YoY แต่ผู้บริหารของ SFT ยังคงเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายปีนี้เอาไว้ที่ระดับสองหลัก ซึ่งหมายความว่ายอดขายในครึ่งหลังจะต้องโตถึงประมาณ 16% เพื่อให้เป็นไปตามเป้าทั้งปีของบริษัท

เราคาดว่าโมเมนตัมของยอดขายในครึ่งหลังจะถูกขับเคลื่อนจากการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้ผลิตออกสินค้าใหม่ และบริษัทจะสามารถหาลูกค้าใหม่ ๆ ได้จากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า โดยเราได้ใส่ปัจจัยนี้เข้าไว้ในสมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขายปีนี้ที่ 11% เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ โรงงานใหม่ของบริษัทยังคืบหน้าไป
ตามกำหนด และคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2566 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตของ SFT เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15% โดยเราได้นำปัจจัยนี้บางส่วนเข้ามาใส่ไว้ในสมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขายปี 2566 ที่ 16% ด้วย

 

จะได้อานิสงส์จากราคาวัตถุดิบที่ถูกลงไม่มากนักในปีนี้

ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของ PVC และ PET เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นถูกบีบมาตั้งแต่ 4Q64 โดยในปัจจุบัน บริษัทได้ทำการตุนสต็อกวัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับใช้ในอีกห้าเดือนไว้แล้ว เพื่อป้องกันผลกระทบจากต้นทุนที่อาจจะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นบริษัทจึงจะได้อานิสงส์จำกัดจากการที่ราคาวัตถุดิบลดลง โดยราคา PVC QTD ลดลง 32% YoY และ 22% QoQ ในขณะที่ราคา PET QTD เพิ่มขึ้น 9% แต่ลดลง 7% QoQ ในขณะเดียวกัน มีการปรับราคาขายให้กับลูกค้าบางส่วนใน 2H65 ดังนั้น เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 2H65 จะใกล้เคียงกับใน 2Q65 ที่ 25.1%

 

 

ประมาณการกำไรปี 2655 มี upside จำกัด

ถึงแม้ว่าผลประกอบการใน 2Q65 จะออกมาดีกว่าที่เราคาดไว้ 23% แต่เรามองว่าประมาณการกำไรปีนี้ของเรามี upside จำกัด เพราะกำไรในงวด 1H65 คิดเป็นเพียง 44% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเราเท่านั้น เราคิดว่าอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีเกินคาดใน 2Q65 อาจจะทำให้ประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ (ที่ 23.0%) มี upside บ้าง แต่จะถูกหักล้างไปบางส่วนกับค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น

 

Valuation

เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” SFT โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 4.80 บาท อิงจาก PER เท่าเดิมที่ 20.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีตของหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดโลก)

 

Risk

ราคาวัตถุดิบผันผวน, เกิด disruption ในสายการผลิต, วัตถุดิบ และสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วเกิดความเสียหาย, ความเสี่ยงจากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับฉลากพลาสติก, ความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อม, คู่แข่งรายใหม่, อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน