ท่องเที่ยวไทยหวัง ‘ปาฏิหาริย์’ ไฮซีซัน วีซ่าฟรีไม่พอ ขอแคมเปญ WOW เข็นรายได้

ท่องเที่ยวไทยหวัง ‘ปาฏิหาริย์’ ไฮซีซัน วีซ่าฟรีไม่พอ ขอแคมเปญ WOW เข็นรายได้

ในเมื่อแบกได้ ก็ต้องแบกต่อไป! นี่คือบทหนักของ ‘ภาคการท่องเที่ยว’ ในฐานะ ‘เดอะแบก’ เศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความท้าทายของเป้าหมายรายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาทที่ ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ ฝันถึง ทั้งเศรษฐกิจโลกตึงตัว ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และที่น่าจับตาขณะนี้คือ ‘การเมืองในประเทศ’

ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า เป้าหมายการสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งไว้สูงถึง 3.5 ล้านล้านบาท ยังต้องช่วยกันลุ้น! เพราะถ้ามองในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดไปถึง 35 ล้านคนได้แน่ หลังสถิติ 5 เดือนแรก (1 ม.ค.-31 พ.ค.) มียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 14.76 ล้านคน เพิ่มขึ้น 38% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้ 7.01 แสนล้านบาท แต่การจะไปถึง 39 ล้านคน ทำรายได้ตลาดต่างประเทศ 2.3 ล้านล้านบาทตามเป้าหมายรัฐบาล ถือว่าเหนื่อย ต้องออกแรงมาก!

ท่องเที่ยวไทยหวัง ‘ปาฏิหาริย์’ ไฮซีซัน วีซ่าฟรีไม่พอ ขอแคมเปญ WOW เข็นรายได้

อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการ แอตต้า กล่าวเสริมว่า ด้วยตอนนี้เข้าสู่โลว์ซีซันแล้ว เท่ากับว่าในช่วงไฮซีซัน 3 เดือนสุดท้ายตั้งแต่ ต.ค.-ธ.ค. ต้องเร่งเครื่องทำรายได้เพิ่มจากปกติถึง 3 เท่า! ลุ้นว่ารัฐบาลจะต้องใช้ “ปาฏิหาริย์” ใด มาสนับสนุนเพิ่ม เพื่อไปให้ถึงเป้ารายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาท

“ทุกวันนี้ภาคการท่องเที่ยวไทยกำลังกินบุญเก่า จากฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สร้างมานาน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าทำการตลาดไว้ต่อเนื่อง แต่นโยบายที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาล นอกเหนือจากมาตรการด้านวีซ่าแล้ว ยังไม่ค่อยมีออกมาชัดเจนนัก ที่มีอยู่ยังไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่เหมือนกับบางประเทศที่ออกโครงการหรือแคมเปญชนิดเห็นแล้วถึงกับร้องว้าว”

ท่องเที่ยวไทยหวัง ‘ปาฏิหาริย์’ ไฮซีซัน วีซ่าฟรีไม่พอ ขอแคมเปญ WOW เข็นรายได้

ศิษฎิวัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากรัฐบาลให้สิทธิ์ยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ “วีซ่าฟรี” สามารถพำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 60 วัน เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ และการทำงานระยะสั้น จากเดิมที่ให้ 57 ประเทศ เพิ่มอีก 36 ประเทศ รวมเป็น “93 ประเทศ” มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2567 แอตต้ามองว่าการเพิ่มจำนวนประเทศที่ให้วีซ่าฟรี ถือเป็นเรื่องดีต่อภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยว แต่การขยายวันพำนักให้อยู่ในประเทศไทยได้ยาวๆ อาจจะไม่เอื้อต่อตลาดคนที่เป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่พำนักในไทยเฉลี่ย 10-21 วัน ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวเอเชียจะอยู่ไม่เกิน 15 วัน ส่วนนักท่องเที่ยวระยะไกล เช่น ยุโรป จะอยู่ยาวไม่เกิน 30 วัน

“การให้วีซ่าฟรีแก่ต่างชาติ 93 ประเทศ เข้ามาท่องเที่ยวและพำนักในไทยได้นานถึง 60 วัน มีความสุ่มเสี่ยงเหมือนกันว่าบางรายจะเข้ามาทำอย่างอื่น เกรงว่าจะเข้ามาทำงาน แย่งอาชีพของคนไทย”

แอตต้าจึงมองว่าการให้วีซ่าฟรีอยู่ได้นานถึง 30 วันก็เพียงพอแล้ว เพราะนักท่องเที่ยวยุโรปที่มีวันหยุดพักร้อนนาน เวลามาเที่ยวไทยก็อยู่ประมาณนี้ ส่วนชาวรัสเซียที่อยู่นานก็ด้วยเหตุผลหนีสงคราม นักท่องเที่ยวจีนมาไทยก็พำนักเฉลี่ย 7-10 วัน ส่วนนักธุรกิจที่ต้องใช้เวลาพำนักนาน ที่ผ่านมาก็มีวิธีการยื่นขอวีซ่าอีกประเภทอยู่แล้ว ต้องเข้าใจว่านักท่องเที่ยวจริงๆ เขาไม่ได้อยู่นานขนานนั้น โดยมองว่ามาตรการนี้จะช่วยดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามา “ซื้ออสังหาริมทรัพย์” ในไทยมากกว่า

ท่องเที่ยวไทยหวัง ‘ปาฏิหาริย์’ ไฮซีซัน วีซ่าฟรีไม่พอ ขอแคมเปญ WOW เข็นรายได้

ส่วนปัจจัย “การเมืองในประเทศ” ในอนาคตนายกฯ เศรษฐา จะอยู่ต่อหรือไม่นั้น? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยากให้รัฐบาลส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวต่อเนื่อง ยกระดับบริการให้ดีขึ้น มีมาตรการดูแลความปลอดภัย ซึ่งเป็นหัวใจของภาคการท่องเที่ยว เพราะถ้าพบว่ามีข้อมูลเรื่องความไม่ปลอดภัยเมื่อไร จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวแน่นอน

“แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นมาตรการพัฒนาคนและแหล่งท่องเที่ยวรองรับการกลับมาของดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทางสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ FETTA (เฟตต้า) เตรียมส่งมอบสมุดปกขาว (White Paper) ถึงรัฐบาลเร็วๆ นี้ หนึ่งในข้อเสนอคือการพัฒนาซัพพลายการท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่กระตุ้นฝั่งดีมานด์นักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เพื่อลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในเมืองหลัก”

อีกประเด็นที่อยากให้รัฐบาลเพื่อไทยพิจารณาคือ “อย่าเขิน” ที่จะเอาโครงการลักษณะเหมือน “คนละครึ่ง” หรือ “เราเที่ยวด้วยกัน” ของรัฐบาลชุดก่อนที่ได้ผลดี มาช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวตลาดในประเทศ

ศิษฎิวัชร ฉายภาพถึงสถานการณ์ตลาด “นักท่องเที่ยวจีน” ด้วยว่า หลังจากมีมาตรการ “วีซ่าฟรี ไทย-จีน” ระหว่างกัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2567 เป็นต้นไป พบว่าในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) ชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยเกือบ 3 ล้านคน มากเป็นอันดับ 1 ของตลาดต่างชาติเที่ยวไทย และประเทศไทยยังเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมจากชาวจีนมากเป็นอันดับ 1 ในการออกเที่ยวต่างประเทศด้วย ปัจจุบันเดินทางเข้าไทยเฉลี่ย 1.5-1.6 หมื่นคนต่อวัน สูงสุดแตะ 2 หมื่นคนต่อวันก็มี

แอตต้าจึงประเมินว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยถึง 7 ล้านคนแน่นอน แต่ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 8 ล้านคนตามที่ ททท.ตั้งไว้ ถ้าอยากให้ได้ตัวเลขตามเป้า เท่ากับว่าในช่วง 7 เดือนที่เหลือ (มิ.ย.-ธ.ค.) ต้องดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยให้ได้อีก 5 ล้านคน หรือเฉลี่ยประมาณ 6-7 แสนคนต่อเดือน บทหนักตกที่ช่วงไฮซีซัน 3 เดือนสุดท้ายซึ่งต้องเบ่งยอดเป็นพิเศษเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

ท่องเที่ยวไทยหวัง ‘ปาฏิหาริย์’ ไฮซีซัน วีซ่าฟรีไม่พอ ขอแคมเปญ WOW เข็นรายได้

“เศรษฐกิจจีนในปี 2567 ต้องเผชิญสงครามกีดกันทางการค้า เจอปัญหาสินค้าจีนขายไม่ออก การแข่งขันด้านเทคโนโลยีก็สูง คนตกงานก็เยอะ ต่างจากยุคก่อนโควิดระบาดที่เรามักจะคุ้นเคยภาพคนจีนออกมาเที่ยวต่างประเทศใช้จ่ายสูงกันมาก คงต้องลุ้นเกิดปาฏิหาริย์กับเศรษฐกิจจีนว่าจะฟื้นตัวดีเมื่อไร”

ทั้งนี้ แอตต้ามีแผนจัด “โรดโชว์” ส่งเสริมการขายในปีนี้ “ตลาดความหวัง” มีทั้งที่ยังไม่กลับมาสมบูรณ์ คือ “จีน” เพราะปีนี้ ททท.ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 8 ล้านคน ต้องไปโรดโชว์เพิ่มความเชื่อมั่น เบื้องต้นมองว่าจะจัดโรดโชว์ 3 เมืองใหญ่ ได้แก่ ฉางซา หูหนาน และเจิ้งโจว ส่วนตลาดที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ “อินเดีย” และ “อินโดนีเซีย” ที่มีฐานประชากรสูงโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยวางแผนโรดโชว์ทั้ง 3 ประเทศในไตรมาส 3 เพื่อให้เห็นผลมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไฮซีซันไตรมาส 4

“ทั้งนี้อยากให้หน่วยงานรัฐบาล อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. เป็นพันธมิตรสนับสนุนงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยวออกไปโรดโชว์กระตุ้นตลาดต่างประเทศ” นายกแอตต้ากล่าว

ท่องเที่ยวไทยหวัง ‘ปาฏิหาริย์’ ไฮซีซัน วีซ่าฟรีไม่พอ ขอแคมเปญ WOW เข็นรายได้