เดินเครื่องกลยุทธ์ ‘วัน ลอรีอัล' ดันแบรนด์อันดับหนึ่งโตยั่งยืน

ตลาดความงามไทยขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง! ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เติบโตสูงหลังยุคโควิดที่ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยยักษ์ใหญ่แบรนด์ความงามอันดับหนึ่งของโลก “ลอรีอัล” (L'Oréal) สร้างยอดขายทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบ 20 ปี

“ลอรีอัล” มีเส้นทางธุรกิจ 115 ปี มีผลิตภัณฑ์หลัก 37 รายการในตลาดโลก ขยายอาณาจักรธุรกิจจากจุดเริ่มต้นที่ทำผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม สู่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ สินค้าอุปโภค ความงาม ช่างผมมืออาชีพ และเวชสำอาง

แพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมา ลาวและกัมพูชา กล่าวว่า ในปี 2567 ลอรีอัลพร้อมเดินหน้าขยายแบรนด์ในประเทศไทยอย่างเข้มข้น ภายใต้กลยุทธ์ วัน ลอรีอัล (One L'Oréal) มุ่งพัฒนาทั้งด้านทีมงาน ด้านธุรกิจ และด้านความยั่งยืน ผลักดันธุรกิจความงามเติบโตอย่างยั่งยืน สอดรับกับพันธกิจ “ลอรีอัล ฟอร์ เดอะ ฟิวเจอร์” (L’Oréal for the Future) วาง 4 กลยุทธ์ขับเคลื่อน ได้แก่

1.บุคลากร (People) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับบุคลากร การสร้างความเข้มแข็งและคุณภาพ ร่วมสร้างความเป็นผู้นำและการทำงานร่วมกัน พร้อมยกระดับบุคลากร 2.การเป็นบิวตี้คอมปะนี (Beauty Company) เป็นแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภค จากความเชี่ยวชาญในการวิจัย พร้อมนำเสนอนวัตกรรม เพื่อขยายกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ จากพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

แพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมา ลาวและกัมพูชา

3. วันเลิฟคอมปะนี (One Loved Company) มุ่งขับเคลื่อนองค์กรในการทำงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในแบรนด์และองค์กร พร้อมการพัฒนาธุรกิจ โดยวางพันธกิจความยั่งยืนตามเป้าหมายในปี 2573 มุ่งย้ำภาพความเป็นบิวตี้เทค และนำเสนอความงามที่ร่วมขับเคลื่อนโลก (เซนส์ ออฟ บิวตี้เทค) และ 4. F1t for the Future) ผลักดันให้องค์กรและพนักงาน มีความพร้อมและพัฒนาทักษะเพื่ออนาคต พร้อมใช้ ดาต้าและเอไอ มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตามแผนการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีความงาม

เร่ง 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ในไทย

กลยุทธ์ วัน ลอรีอัล มุ่งใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ในเครือ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เมกอัป ดูแลเส้นผม-ทำสีผม และน้ำหอม มุ่งขับเคลื่อนแบรนด์ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และขยายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ เจน Z เพื่อสร้างการเติบโตและรักษาความเป็นผู้นำในตลาด โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และเมกอัป ที่เป็นสินค้าผู้นำตลาด

พร้อมขยายผลิตภัณฑ์ใหม่เสริมพอร์ตโฟลิโอ จากปัจจุบันมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักทำตลาดในไทยรวม 15 แบรนด์ จากทั่วโลก มี 37 แบรนด์ รวมถึงกลุ่มน้ำหอมได้ขยายบรรจุภัณฑ์ที่อยู่ในรูปแบบซองเติม เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน

คาดการณ์ในปีนี้ยังเติบโตสองหลัก

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าปี 2567 ลอรีอัล จะสร้างการเติบโตระดับสองหลัก ใกล้เคียงปีก่อน โดยบริษัทเป็นผู้นำหลักในตลาดผลิตภัณฑ์ความงาม และผลิตภัณฑ์เมกอัป ของประเทศไทย คาดเติบโตสูงกว่าตลาดความงามในไทย ซึ่งปี 2567 จะมีการขยายตัว 8% 

ตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล มีมูลค่า 2.85 แสนล้านบาท เติบโต 12% กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเป็นตลาดใหญ่สุดมีมูลค่า 1.13 แสนล้านบาท รองลงมากลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม มูลค่า 3.9 หมื่นล้านบาท กลุ่มเมกอัป มูลค่า 2.27 หมื่นล้านบาท และกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอม มูลค่า 1.02 หมื่นล้านบาท 

แบรนด์หลักในไทยทั้ง ลอรีอัล การ์นิเย่ และ เมย์เบลลีน นิวยอร์ก

ลอรีอัล ประเทศไทย เป็นตลาดหลักของภูมิภาค “SAPMENA” ประกอบไปด้วย เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือ สร้างการเติบโตสองหลักเหนือตลาดได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภูมิภาค SAPMENA เติบโต23.2%

“ไทยเป็นตลาดสำคัญในภูมิภาค SAPMENA สะท้อนจากการเติบโตใกล้เคียงตลาดรวม เป็นตลาดที่มีกลุ่มลูกค้าที่มีฐานกำลังซื้อสูง จากฐานกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางจำนวนมากในประเทศ รวมถึงลูกค้าสนใจให้ความสำคัญเรื่องความงามสูงมาก โดยมีแบรนด์หลักในไทยทั้ง ลอรีอัล การ์นิเย่ และ เมย์เบลลีน นิวยอร์ก”

สำหรับภาพรวมของลอรีอัลทั่วโลกปี 2566 เติบโต 11% สูงสุดในรอบ 20 ปี มียอดขายรวม 4.118 หมื่นล้านยูโร สร้างยอดขายมากกว่าภาพรวมตลาดความงามในโลกปีที่ผ่านมา ขยายตัว 8% ส่วนปีนี้ คาดตลาดโลกขยายตัว 4-5%

เปิดบ้าน “Baan Beauté” สำนักงานใหญ่ในไทยครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม นอกจากการแถลงแผนของลอรีอัลแล้ว ยังมีการเปิด “Baan Beauté” (บ้านโบเต้) สำนักงานใหญ่แห่งใหม่และศูนย์กลางของลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา ครั้งแรก อยู่ที่อาคารพาร์คสีลม

 สำหรับพื้นที่ของออฟฟิศได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Beauty Meets Technology & Sustainability โดยออกแบบให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสอดรับกับความยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ของลอรีอัลด้วย