ไขรหัส แม่ทัพ “สิงห์ เอสเตท” เพิ่ม ‘มูลค่าสินทรัพย์’ ต่อยอดเม็ดเงิน

ไขรหัส แม่ทัพ “สิงห์ เอสเตท” เพิ่ม ‘มูลค่าสินทรัพย์’ ต่อยอดเม็ดเงิน

ในวันที่ธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัว สิ่งที่ผู้นำต้องทำ ไม่ใช่เริ่มต้นในวันนี้ แต่ต้องเตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะเดินหน้า เมื่อจังหวะและโอกาสมาถึง นั่นคือสิ่งที่ ‘ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว

4 ขาธุรกิจของ สิงห์ เอสเตท ไม่ว่าจะเป็นที่พักอาศัย (Residential) โรงแรม (Hospitality) อาคารให้เช่า อาคารสำนักงาน (Commercial) และ นิคมอุตสาหกรรม (IE & INFRA) ล้วนถูกเตรียมไส้ในไว้พร้อมทั้งหมด เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย ซึ่งในปี 2567 นี้ ซีอีโอ สิงห์ เอสเตท ประกาศเป้าหมายรายได้เติบโตถึง 20% รวมมูลค่าราว 18,000 ล้านบาท ในขณะที่ เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะผันผวน ปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ หรือสงครามระหว่างประเทศยังยืดเยื้อ ภาวะเงินเฟ้อยังไม่นิ่ง อัตราดอกเบี้ยก็พุ่งขึ้นไม่หยุด

ฐิติมา ยกตัวอย่างกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่มีสัดส่วนมากถึง 60% ของพอร์ตรายได้ทั้งหมด ซึ่งตั้งแต่ช่วงโควิด กลุ่มโรงแรมของสิงห์ เอสเตท ก็ยังสามารถทำรายได้ได้ไม่ต่ำกว่าเป้า เพราะด้วย 5 โลเคชั่นของธุรกิจโรงแรมที่มี ทั้งไทย สหราชอาณาจักร มัลดีฟส์ มอริเชียส และ ฟิจิ แต่ละที่จะมีความพร้อมในการให้บริการและการฟื้นกลับที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถเฉลี่ยรายได้ให้กับกลุ่มสิงห์ เอสเตทได้เป็นอย่างดี

ไขรหัส แม่ทัพ “สิงห์ เอสเตท” เพิ่ม ‘มูลค่าสินทรัพย์’ ต่อยอดเม็ดเงิน

หวังท่องเที่ยวฟื้นฟู

“ขณะที่การท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ นักเดินทางเริ่มกลับมา แม้จะยังไม่ปกติทั้งหมด บนพอร์ตโฟลิโอการบริหารงานโรงแรม เราต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ all year round ให้ได้ ธุรกิจโรงแรม ตอนนี้ไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรที่โดดที่สุด มันเป็นความเสี่ยงที่คุณต้องจัดการให้ได้ วันนี้สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว ทุกประเทศเปิดแล้ว แต่ถ้าถามว่าภาวะสงครามยืดเยื้อ คนยุโรปที่จะเทมาเอเชียก็ไม่ไ่ด้สูง เพราะฉะนั้น เราต้องเพิ่มกลุ่มนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง อินเดีย หรือคนจีนยังไม่ได้หลั่งไหลมาเหมือนเมื่อก่อน เราก็ต้องเพิ่ม เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น”

นั่นคือสิ่งที่สิงห์ เอสเตท ผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมเดินหน้าต่อได้

ส่วนในปี 2567 หรือต่อจากนี้ แน่นอนว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาเฟื่องฟูยิ่งขึ้น ไอเดียที่จะทำให้สามารถรองรับตลาดในอนาคตได้ คือ การเริ่มหันมามองโรงแรมที่มีในพอร์ต ที่นอกจากแบรนด์ดี โลเคชั่นดีแล้ว "ฐิติมา' ยังสร้างมูลค่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เพิ่มมากขึ้น เพราะไม่ได้คิดที่จะไปแข่งขันในตลาดด้วยราคา แต่เน้นความต่าง คุณภาพ ด้วยการรีโนเวท

กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ยังคงมีแผนที่จะปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จำนวน 5 โรงแรมในเครือที่ประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 25% รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการยกระดับห้องพักที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) จากการใช้จ่ายต่อคนในการใช้บริการ ภายในโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 15%

ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Property) รวมถึงการมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจที่ทำให้เกิดโอกาสรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นด้วย

เปิดปัจจัยเคลื่อนการเติบโต

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญของธุรกิจโรงแรมเครือสิงห์ เอสเตท มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโรงแรมที่ยกระดับห้องพักแล้วเสร็จ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุง 3 แห่ง ได้แก่ Outrigger Fiji Beach ที่ปรับปรุงแล้วเสร็จในปี 2566 ที่ผ่านมา โรงแรม SAii Laguna Phuket และ SAii Phi Phi Islands ขณะนี้ ดำเนินการปรับปรุงไปแล้ว 1 ใน 3 ของจำนวนห้องทั้งหมด โดยการยกระดับห้องพักของโรงแรมในเครือถือเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาศักยภาพของสินทรัพย์ที่มีในพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งล้วนตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง ให้มีความสามารถในการทำรายได้เพิ่มขึ้น

นางฐิติมา บอกว่า สิงห์ เอสเตทใช้งบกว่า 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 ปี (พ.ศ.2567-2569) สำหรับการลงทุนและการรีโนเวทสินทรัพย์ที่มีอยู่ ส่วนของโรงแรมบางแห่ง ที่ถึงเวลาต้องปรับต้องเพิ่ม ก็ลงทุนปรับและขยายโอกาสททางการตลาด เช่น แบรนด์โรงแรม SAii ที่สิงห์ เอสเตทเป็นเจ้าของ ก็พยายามเพิ่มมูลค่าเพื่อต่อยอดธุรกิจในวันข้างหน้า มีการขยายฐานแบรนด์ตรงนี้ออกไป ทำให้คนรู้จักมากขึ้น โดยการสร้างแบรนด์โรงแรมให้เข้มแข็งแรง ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ โลเคชั่น ห้องพัก บริการ แต่ยังรวมถึง ร้านอาหาร สปา เฮลท์แอนด์เวเนส และอื่นๆ ซึ่งกำลังเติมความเข้มข้น เพื่อซัพพอร์ตกลยุทธ์การตลาดในวันข้างหน้าต่อไป

นอกจากนี้ ส่วนของที่พักอาศัย ซีอีโอคนนี้ บอกว่า จะขยายการลงทุนให้ครบทุกเซกเม้นท์ที่บริษัทฯ และทีมงานมีความชำนาญ ซึ่งนั่นคือตลาดลักชัวรี่ ที่สิงห์ เอสเตท แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ อัลตร้าลักชัวรี่ ซูเปอร์ลักชัวรี่ พรีเมี่ยมลักชัวรี่ และลักชัวรี่ ซึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้สิงห์ เอสเตท ที่เป็นน้องใหม่ในตลาดนี้ สามารถแข่งขันกับเจ้าใหญ่ในตลาดได้ คือ การมองหาการลงทุนบนที่ดินที่มีศักยภาพ ซึ่งไม่ใช่มีเพียงแค่ทำปีต่อปี แต่มีไว้รองรับโครงการใหม่ๆ ที่สามารถทำได้อีก 3-5 ปี และต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

เช่นเดียวกับธุรกิจด้านอาคารให้เช่า และนิคมอุตสาหกรรม ที่ สิงห์ เอสเตท พยายามหาความเชื่อมโยง แล้ว Synergy ทุกอย่างเพื่อซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน สร้างความหลากหลายให้มีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการหาพันธมิตรและคู่ค้า เข้ามาต่อยอด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และย่นระยะเวลาในการทำโครงการต่างๆ ได้เร็วขึ้น เดินหน้าสู่เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

ฐิติมา ย้ำว่า นี่คือแนวคิดในการเติบโตของสิงห์ เอสเตท ที่กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 พร้อมกับ แนวคิด Go Beyond Dreams ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความฝัน แต่ทุกฝันมีแผนและกลยุทธ์ในการก้าวเดิน อย่างหลากหลายและยั่งยืน (Sustainable&Divesity)