ธุรกิจมีมูลค่าในอนาคตต้องสร้าง “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้”

ธุรกิจมีมูลค่าในอนาคตต้องสร้าง “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้”

ในโลกการแข่งขันและความผันผวนทางเศรษฐกิจ ทั้งภัยจากโรคระบาดและสงคราม สร้างความไม่แน่นอนตลอดเวลา การปรับตัวของธุรกิจก็หมุนไปตามเช่นเดียวกัน ผมจึงอยากชวนทุกท่านให้รู้จัก การเพิ่มมูลค่าธุรกิจด้วยการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้

ปกติการวัดความสำเร็จหรือความแข็งแรงของธุรกิจนั้น ไม่ได้วัดแค่เพียงว่าธุรกิจของท่านมีเงินสด มีทรัพย์สินที่ดิน อาคารในปัจจุบันเท่าไร ?  เพราะสินทรัพย์เหล่านั้นมีความเสี่ยงได้ตลอดเวลา ยิ่งธุรกิจใหญ่ความเสี่ยงท่านยิ่งเยอะและมีมากตามไปด้วยเช่นกัน

การคำนึงถึงแต่ทรัพย์สินในปัจจุบันนั้นเพียงอย่างเดียวนั้น ทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันท่านอาจจะมีไม่มากพอต่อการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และคู่แข่งที่มากจากหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น

ดังนั้น การที่ธุรกิจของท่านจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นนั้น หมายความว่าธุรกิจของท่านจะต้องมีความสามารถในการทำเงินหรือสร้างรายได้ในอนาคต 

สิ่งที่ท่านจะต้องตั้งคำถามคือ “อะไรที่ที่ทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจสามารถสร้างรายได้ในอนาคตได้ดีกว่าคู่แข่งในตลาด?”  ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่สำคัญคือ ธุรกิจท่านต้องมีแบรนด์ที่แข็งแรงในตลาด

แบรนด์ที่แข็งแรงในตลาด จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า และยิ่งแบรนด์มีความแข้มแข็งมากเท่าไร ก็จะสามารถป้องกันการถูกแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากเช่นกัน

และในทางตรงกันข้ามแบรนด์ที่แข็งแรงก็จะสามารถแย่งสัดส่วนทางการตลาดจากคู่แข่งได้มาเช่นเดียวกัน

เคยได้ยินไหมครับว่า ตอนที่ วอร์เรน บัฟเฟต์ ตัดสินใจลงทุนกับ Apple เขามองแล้วว่า Apple กำลังเปลี่ยนจากบริษัท Tech company ไปเป็นแบรนด์ที่เป็นกึ่ง Consumer product ซึ่งนั่นหมายความว่าแบรนด์ Apple ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งชีวิตประจำวันและเข้าไปนั่งในใจของผู้คนเป็นที่เรียบร้อย 

ธุรกิจมีมูลค่าในอนาคตต้องสร้าง “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้”

 

จากแนวคิดนี้ผมคิดว่า เขามองขาดมากครับ บริษัททั่วไปก็มักที่จะทำงบทางการเงินให้สวยๆ หรือหลายๆ ครั้งเราพบว่า งบการเงินหรือเทคโนโลยีนั้นไม่สามารถสะท้อนความแข็งแรงของธุรกิจในระยาวได้ ซึ่งก็ทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

จากสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังจะเห็นว่า นักลงทุนระดับโลกเขามองที่ Brand index ด้วยแน่นอนก่อนตัดสินใจในการลงทุน และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เราพบว่ามีองค์ประกอบบางอย่างที่ส่งผลต่อรายได้ในอนาคตของบริษัท

ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในอนาคตของธุรกิจนั้นๆ อีกด้วย

แล้วอะไรบ้างล่ะที่ส่งผลต่อรายได้ในอนาคต ความสำคัญของสิ่งนี้เป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่า มันคือสินทรัพย์ของธุรกิจประเภทหนึ่งเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ ( Intangible Assets )

ธุรกิจมีมูลค่าในอนาคตต้องสร้าง “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้”

สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้มีอะไรบ้าง?

1.Brand Value Assets  มูลค่าแบรนด์  : เป็นสินทรัพย์ที่มีความยั่งยืนสูงมาก ถ้าสร้างแบรนด์มาอย่างถูกต้อง และสร้างอย่างเป็นระบบก็จะส่งผลต่อยอดขายและกำไรในอนาคตของบริษัท

ตัวอย่าง แบรนด์ Apple มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยแบรนด์ของ Apple มีมูลค่ามากถึง 41% ของมูลค่าธุรกิจทั้งหมดเลยทีเดียว

2.License ลิขสิทธิ์ : เป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ในอนาคตได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน เช่น ไก่ทอดแบรนด์ KFC เป็นมากกว่าแค่ร้านไก่ทอด แต่รายได้ที่สำคัญคือการขายลิขสิทธิ์ของแบรนด์ร้าน KFC ไปทั่วโลกต่างหาก ทั้งระบบการจัดการภายในร้าน, การออกแบบร้าน และการควบคุมคุณภาพของสูตรไก่ทอดไปทั่วโลก

ไก่ทอด KFC อาจไม่ใช่ไก่ที่อร่อยที่สุด แต่เป็นแบรนด์ไก่ทอดที่มีมูลค่าธุรกิจมากที่สุด

3.Intellectual Property (IP) สิทธิบัตรทางปัญญา : เป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ในอนาคตที่มากในอนาคตได้เช่นเดียวกัน สิทธิบัตรจะแตกต่างจากลิขสิทธิ์ตรงที่ว่า มักจะเป็นนวัตกรรมที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ล่าสุด

ซึ่งลิขสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องใหม่ที่สุด แต่เป็นสิ่งที่สามารถขายระบบและการจัดการได้ อาทิ เช่น บริษัทที่คิดค้นเทคโนโลยี 6G แล้วสามารถขายสิทธิบัตรให้บริษัทคมนาคมและการสื่อสารได้นำไปใช้ทั่วโลก

สิ่งที่ผมอยากให้ทุกท่านตั้งเป็นข้อสังเกตคือ สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ ( Intangible Assets ) นั้น ไม่ใช่ไม่มีตัวตนนะ แต่อันที่จริงสินทรัพย์ประเภทนี้ส่งผลต่อรายได้ในอนาคตของบริษัทมากๆ เลยทีเดียว จึงเป็นสิ่งที่ความสำคัญต่อการประเมินมูลค่าของบริษัท มากเลยทีเดียว

บริษัท A มีสินทรัพย์จับต้องได้ 1 พันล้านบาท แต่ Intangible Assets ไม่มีเลยหรือแทบเป็นศูนย์

บริษัท B มีสินทรัพย์จับต้องได้ 500 ล้านบาท แต่ Intangible Assets มี 500 ล้านบาท

เป็นท่านท่านจะเลือกลงทุนกับบริษัท A หรือ B เพราะอะไร ?

เราเปรียบเทียบทั้งสองบริษัทพบว่าข้อแตกต่างคือ B. มี Intangible Assets มี 500 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าเหล่านี้พร้อมสร้างสินทรัพย์จับต้องได้ให้เพิ่มมากขึ้น และแน่นอนขีดความสามารถทางการแข่งขันย่อมมีมากกว่าเช่นกัน

ธุรกิจมีมูลค่าในอนาคตต้องสร้าง “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้”

มูลค่าธุรกิจทั้งหมด = สินทรัพย์ที่จับต้องได้ ( Tangible Assets) +  สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ ( Intangible Assets)

ถึงเวลาหรือยังครับว่าธุรกิจของท่านจะให้ความสำคัญกับ สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ และแผนธุรกิจปีหน้าท่านมีกลยุทธ์ มีวิธีการอย่างไร ในการเพิ่มสินทรัพย์ประเภทนี้ของท่านเอง เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้เพิ่มตามไปด้วย

สิ่งสำคัญประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงตามไปด้วยเช่นกัน.