เอกชนลุ้น ‘ยกเว้นวีซ่า’ จีนเที่ยวไทย ดันยอด ‘ทัวริสต์จีน’ ถึงฝัน 5 ล้านคนปี 66

โดยมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวดังกล่าวจะดำเนินการ “ชั่วคราว” ในช่วงไฮซีซันนี้ คาดเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 เป็นต้นไป

หลังจากในช่วงวิกฤติที่ผ่านๆ มา เช่น เหตุเรือล่ม จ.ภูเก็ต เมื่อปี 2561 รัฐบาลไทยเคยแต่ “ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า” ให้แก่นักท่องเที่ยวจีนและประเทศเป้าหมายอื่นๆ ยังไม่เคยออกมาตรการยาแรงแบบนี้มาก่อน

ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เล่าว่า พอบริษัททัวร์ในประเทศจีนรับทราบข่าวรัฐบาลใหม่ของไทยมีแผนออกมาตรการยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน พบว่าฟีดแบ็กดี ต่างรอติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิด และมองว่าจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นด้านการเดินทางแก่นักท่องเที่ยวจีน และทำให้ผู้ประกอบการทัวร์จีนมีเวลาขายแพ็กเกจทัวร์มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาติดข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการขอวีซ่าเข้าไทย ซึ่งทางสถานทูตหรือสถานกงสุลของไทยในประเทศจีนใช้เวลาพิจารณาวีซ่านานกว่ายุคก่อนโควิด-19 ระบาด

“จากแผนเตรียมออกมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีน แอตต้าประเมินว่าจะทำให้มีชาวจีนเข้ามาเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นแน่นอน จากเดิมที่ปี 2566 ไม่ถึงเป้าหมาย 5 ล้านคนแน่ๆ แต่ตอนนี้มีลุ้นว่าไปถึงเป้าได้ หากรัฐบาลสามารถเริ่มมาตรการให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ รับช่วงหยุดยาววันชาติจีนพอดี โดยในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ของปีนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสะสม 2,227,054 คน หาก 4 เดือนที่เหลือได้ 7 แสนคนต่อเดือน ก็มีโอกาสลุ้นถึงเป้าหมาย 5 ล้านคน”

ทั้งนี้ แอตต้าขอถามนายกฯ เพิ่มเติมว่า มาตรการยกเว้นวีซ่าแก่ชาวจีนในช่วงไฮซีซัน จะทำเพียง 3 เดือน ตั้งแต่ ต.ค.-ธ.ค. 2566 หรือจะทำยาว 6 เดือน ตั้งแต่ ต.ค. 2566 - มี.ค. 2567 เพราะยังเป็นไฮซีซันอยู่ เนื่องจากการกระตุ้นตลาดในช่วงแรกๆ อาจขยับได้ไม่มากนัก เพราะจำนวนเที่ยวบินไม่เพียงพอ คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาจริงๆ ในต้นปี 2567 มากกว่า โดยเฉพาะในช่วงหยุดยาว “เทศกาลตรุษจีน” ที่ในอดีตเคยมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยสูงสุด 1.2 ล้านคนในเดือนที่มีเทศกาลตรุษจีน

“อย่างไรก็ตาม เมื่อมองอีกมุม ถ้ารัฐบาลดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าแก่ชาวจีนเริ่มที่ 3 เดือนก่อน ก็จะช่วยเร่งการตัดสินใจเดินทางเข้าไทยได้แบบทันที จากนั้นค่อยพิจารณาต่ออายุมาตรการฯ อีก 3 เดือนต่อเนื่อง ก็สามารถทำได้”

ประกอบกับตอนนี้ “เศรษฐกิจจีน” อยู่ระหว่างฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ทางการจีนน่าจะเปิดกว้างเรื่องการต่ออายุพาสปอร์ตแก่ชาวจีนได้รวดเร็วขึ้น ล่าสุดจีนเพิ่มจำนวนประเทศปลายทางที่อนุญาตให้ชาวจีนเดินทางไปได้ รวมประมาณ 70-80 ประเทศแล้ว เพิ่มจากช่วงต้นปีเมื่อเดือน ม.ค. ที่ประกาศให้ไทยติด 1 ใน 20 ประเทศปลายทางกลุ่มแรก ขณะเดียวกันมาตรการยกเว้นวีซ่าดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นกลุ่มชาวจีนที่อาศัยหรือทำงานนอกประเทศเดินทางเข้าไทยได้สะดวกด้วย โดยเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียนและตะวันออกกลาง

“นโยบายกระตุ้นท่องเที่ยวของนายเศรษฐาครั้งนี้ เรียกว่าเป็นมาตรการยาแรงจริงๆ แต่จะสำเร็จได้ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจีนด้วยว่า การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นปลอดภัยจริงๆ”

หลังในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาซึ่งตรงกับช่วงเลือกตั้งใหญ่ของไทย พบว่ากระแสในโซเชียลมีเดียของจีน โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม TikTok มีการส่งต่อข้อความว่า “มาเที่ยวไทยแล้วไม่ปลอดภัย” จะถูกลักพาตัวนำไปเรียกค่าไถ่ และนำไปขายอวัยวะ ขายไต ทำให้คนจีนจำนวนมากเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือแม้แต่บริษัททัวร์ของจีนที่ไม่ได้ทำทัวร์มาไทย 2-3 ปีช่วงที่เกิดโควิด-19 ยังถามมาว่าจริงหรือไม่ แอตต้าจึงเตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่แก้ข่าวลือพวกนี้อย่างเร่งด่วน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวจีน หลังจากที่ผ่านมารัฐบาลรักษาการทำงานได้ไม่เต็มที่

“ภาคเอกชนต้องขอขอบคุณนายกฯ เศรษฐา ที่เล็งเห็นความสำคัญของภาคท่องเที่ยว ต้องการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟตต้า) ได้ประสานขอเข้าพบนายกฯ เพื่อนำเสนอปัญหาภาคการท่องเที่ยวแล้ว กำลังรอการตอบรับ ทั้งนี้จะขอความชัดเจนจากนายกฯ เพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการยกเว้นวีซ่า ว่าใช้สำหรับนักท่องเที่ยวจีนเพียงตลาดเดียว หรือรวมนักท่องเที่ยวอินเดียด้วย”

ด้านเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวว่า แม้รัฐบาลใหม่จะมีแผนออกมาตรการยกเว้นวีซ่า ส่วนตัวยังไม่มั่นใจว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาในทันทีเหมือนวิกฤติครั้งก่อนๆ ที่ออกมาตรการด้านวีซ่าแล้วนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจจีนตอนนี้ยังมีปัญหา และทางจีนมีการควบคุมการเดินทางทั้งทางตรงและทางอ้อม

“ภาพรวมคนจีนตอนนี้น่าจะยังไม่พร้อมออกเดินทางเที่ยวต่างประเทศมากนัก เกรงว่ามาตรการยกเว้นวีซ่าที่รัฐบาลเตรียมกระตุ้นจะแป้ก จึงมองว่ารัฐบาลใหม่ต้องทำการบ้านหนักพอสมควร ออกมาตรการกระตุ้นได้อย่างชัดเจนและเหมาะสมกับแต่ละตลาด”