บิ๊กโรงแรมมั่นใจ 'ท่องเที่ยว' ฟื้นแกร่ง ลุยคุมต้นทุน ลุ้นรัฐบาลฟรีวีซ่าจีน

บิ๊กโรงแรมมั่นใจ 'ท่องเที่ยว' ฟื้นแกร่ง ลุยคุมต้นทุน ลุ้นรัฐบาลฟรีวีซ่าจีน

บิ๊กโรงแรมไทยต่างมั่นใจแนวโน้ม 'ภาคท่องเที่ยว' ฟื้นตัวดีต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 2566 โดยเฉพาะ 'ไฮซีซัน' ไตรมาสที่ 4 แม้ยังมีความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลก ค่าใช้จ่ายการเดินทางที่สูงขึ้น รวมถึงต้นทุนดำเนินงาน แต่ดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเดินทางเข้าไทย

ส่วนตลาดความหวังอย่าง “จีน” ยังคงต้องจับตา ว่าจะสามารถคลายล็อกข้อจำกัดต่างๆ ได้เมื่อไร ทันการหรือไม่ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่า ซึ่งล่าสุดรัฐบาลใหม่มีแผนเปิด “ฟรีวีซ่า” ให้แก่บางประเทศที่มีศักยภาพ เช่น จีน

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า จากการฟื้นตัวของกิจกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ประกอบกับกลยุทธ์การปรับแบรนด์เชิงรุกของบริษัท เป็นปัจจัยที่ยืนยันถึงแนวโน้มทางธุรกิจที่สดใสสำหรับธุรกิจโรงแรมในช่วงที่เหลือของปี 2566 โดยเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง! แม้จะมีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงขึ้น แต่จะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความต้องการในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มโรงแรมระดับบน

สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ “นักท่องเที่ยวจีน” ยังคงฟื้นตัวช้ากว่าคาด จากข้อจำกัดของจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศและความล่าช้าในการต่ออายุพาสปอร์ต อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหากพ้นจากข้อจำกัดดังกล่าว

ทั้งนี้ ไมเนอร์โฮเทลส์ยังมีฐานลูกค้าที่หลากหลาย โดยไม่ได้มีการพึ่งพากลุ่มลูกค้าใดลูกค้าหนึ่งเป็นหลัก ในส่วนของผลประกอบการกลุ่มโรงแรมของ “ไมเนอร์ โฮเทลส์” ในประเทศไทย พบว่ามีอัตราการเข้าพักตามที่บริษัทคาดการณ์และราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) อยู่ในระดับที่สูงกว่าที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้

วรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 12.9 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 52% ของเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 ที่ 25 ล้านคน

ทั้งนี้ ทางภาครัฐคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยได้แรงสนับสนุนจากนักท่องเที่ยวหลักต่างๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีการเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศเมื่อเดือน ม.ค. 2566 ผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังคงมีแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของรายได้เป็น 50% โดยมาจากประมาณการอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มเป็น 78-80% และการเติบโตของราคาห้องพักเฉลี่ยมากกว่า 20% จากปี 2565

นอกจากนี้ ในส่วนของการขยายการลงทุนนั้น บริษัทฯ ยังคงดำเนินการพัฒนาและขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องตามแผนระยะยาวที่วางไว้ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ มีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 13 แห่ง โดยเป็นโรงแรม “ฮ็อป อินน์” ในประเทศไทย 10 แห่ง และอีก 3 แห่งในประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงดำเนินการปรับปรุงโรงแรมระดับ 3-5 ดาวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

“ในครึ่งหลังของปี 2566 ยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่น สภาวะเศรษฐกิจโลก นโยบายของรัฐบาล บริษัทฯจะติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยคำนึงสถานการณ์และสภาพคล่องของบริษัทฯ เป็นปัจจัยสำคัญ”

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังของปี 2566 บริษัทฯ ยังมีมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม แม้ว่ายังมีปัจจัยท้าทายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ก็ยังเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซัน ทำให้ธุรกิจโรงแรมยังเติบโตได้ดี และรายได้จะกลับมาสูงกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ธุรกิจอาหารยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ของธุรกิจให้บริการจัดการอาหารแก่โรงเรียนนานาชาติ และการขยายสาขาของธุรกิจแฟรนไชส์ร้านขนมอบ

ในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น การก่อสร้างของโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ได้คืบหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยในเดือนกรกฎาคมมียอดขายประมาณ 65% ของพื้นที่ขาย จากเป้าหมายการขายในปีนี้ที่ 70-75% ทำให้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายอัตราการเติบโตของรายได้รวมจากธุรกิจปัจจุบันไว้ที่ประมาณ 30-35% จากปี 2565 และคาดว่าอัตรากำไร EBITDA ปี 2566 จะมีค่าประมาณ 15-18% ของรายได้รวม

กันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และรองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวว่า ปัจจัยที่อาจมีผลต่อธุรกิจโรงแรมในปี 2566 มีทั้งเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่มีความผันผวน ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอย ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ เป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ

บริษัทจึงยังคงเน้นการประกอบธุรกิจและควบคุมต้นทุนด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการออก “หุ้นกู้” เพื่อเพิ่มสัดส่วนอัตราดอกเบี้ยคงที่แทนอัตราดอกเบี้ยลอยตัว การจ่ายคืนเงินกู้ก่อนกำหนดจากกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเพื่อลดภาระดอกเบี้ย อีกทั้งเตรียมแผนการขายและการตลาดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม

“บริษัทฯ คาดการณ์ภาพรวมปี 2566 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (รวมโรงแรมร่วมทุน) อยู่ที่ 68-72% และรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) อยู่ที่ 3,400-3,700 บาท ตัวเลขประมาณการได้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ดีกว่าคาด โดยการเติบโตของ RevPAR มาจากอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมในประเทศไทยและการเพิ่มขึ้นของราคาห้องพักจากโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า ซึ่งมีราคาห้องพักเฉลี่ยสูงกว่าโรงแรมในประเทศ”