'ไมเนอร์' ลุยกลยุทธ์ 'Asset Right' ดันอาณาจักรโรงแรมสู่ 600 แห่งทั่วโลกปี 68
“ไมเนอร์ โฮเทลส์” (Minor Hotels) เชนโรงแรมสัญชาติไทยรายใหญ่ เดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง หลังคว้า “อันดับ 22” ของเชนโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุดในโลก! จากการจัดอันดับของนิตยสาร HOTELS เมื่อไตรมาส 3 ปี 2565 ด้วยจำนวนโรงแรมในเครือทั้งสิ้นกว่า 530 แห่งใน 56 ประเทศ
มีจำนวนห้องพักรวมกว่า 76,000 ห้อง โดยโรงแรมในประเทศไทยสร้างรายได้สัดส่วน 16% ขณะที่ในต่างประเทศครองสัดส่วนรายได้กว่า 84% ภายใต้แบรนด์หลากหลาย ได้แก่ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช โฮเทลส์, นาว, เอเลวาน่า และแบรนด์อื่นๆ ที่ว่าจ้างให้เชนโรงแรมอื่นมาบริหาร เช่น แมริออท, โฟร์ซีซันส์, เซ็นต์ รีจิส และ เรดิสัน บลู เป็นต้น โดยมีจำนวนโรงแรมที่ไมเนอร์ฯ เป็นเจ้าของลงทุนเอง 25%
ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และไมเนอร์ โฮเทลส์ ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งในรูปแบบเจ้าของ ผู้บริหาร และผู้ร่วมลงทุน เปิดเผยว่า “ไมเนอร์ โฮเทลส์” เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องหลังจากผ่านพ้นยุคโควิด-19 โดยในช่วง 3 ปีนับจากนี้ (ปี 2566-2568) จะเปิดโรงแรมใหม่กว่า 65 แห่งทั่วโลก คิดเป็นจำนวนห้องพักมากกว่า 13,000 ห้องพัก แบ่งเป็นโรงแรมที่ไมเนอร์ฯ เป็นเจ้าของลงทุนเอง 7 แห่ง และรับบริหาร 58 แห่ง โดย 3 ประเทศใหม่ที่เข้าไปปักธงรับบริหารเพิ่มคือ อียิปต์ เปรู และบาห์เรน
“ตามแผนรุกขยายธุรกิจโรงแรม ทำให้ภายในปี 2568 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีจำนวนโรงแรมรวมไม่น้อยกว่า 595 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักประมาณ 90,000 ห้องพัก กระจายใน 59 ประเทศทั่วโลก”
ภายใต้กลยุทธ์หลัก “Asset Right” มุ่งรักษาสมดุลการเพิ่มรายได้และการทำกำไร! ระหว่างรายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ลงทุนเอง (Asset Heavy) และรายได้จากการรับบริหารโรงแรม (Asset Light)
หนึ่งในนั้นคือการขยายแบรนด์โรงแรมด้วยการทำตลาดแบบ “สูตรไขว้” (Cross-Selling) นำแบรนด์โรงแรมของ “เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป” ซึ่งมีชื่อเสียงและโด่งดังในยุโรป ให้มาเติบโตในเอเชียและตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน นำแบรนด์ “อนันตรา” ซึ่งเป็นแบรนด์ดั้งเดิมของเครือไมเนอร์ฯที่มีชื่อเสียงในเอเชีย และแบรนด์ “อวานี” ไปบุกตลาดยุโรป อาศัยฐานลูกค้าของแต่ละแบรนด์ในภูมิภาคนั้นๆ เพื่อสร้างการเติบโต
ควบคู่กับกลยุทธ์การดัน “ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน” (ADR) ให้สูงขึ้น เพื่อผลักดันการเพิ่มรายได้และทำกำไรในระยะยาวในยุคหลังโควิด
หลังจากไตรมาส 1 ปีนี้ เครือไมเนอร์ฯสามารถทำราคา ADR ของโรงแรมที่เป็นเจ้าของและเช่าเอง (Owned & Leased Hotels) ทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนห้องพัก 54,408 ห้อง มี ADR เฉลี่ยอยู่ที่ 4,645 บาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2562 ก่อนโควิดระบาด โดยอัตราเข้าพัก (Occupancy) อยู่ที่ 59% ลดลงจาก 65% ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) อยู่ที่ 2,737 บาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2562 และเมื่อดูเฉพาะเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่าสามารถทำ ADR อยู่ที่ 3,936 บาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2562
ส่วน ADR ของโรงแรมที่ไมเนอร์ฯ เป็นเจ้าของเอง (Owned Hotels) ในประเทศไทย พบว่าในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา สามารถดัน ADR อยู่ที่ 8,353 บาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562 โดยจากอัตราเข้าพัก 71% ที่ลดลงจาก 82% ทำให้ RevPar อยู่ที่ 5,903 บาท ลดลงเพียง 1% จาก 5,951 บาท และเมื่อดูเฉพาะเดือน เม.ย. สามารถดัน RevPar ได้ต่อเนื่อง อยู่ที่ 5,180 บาท เพิ่มขึ้นถึง 8% จาก 4,783 บาท
ดิลิป เล่าเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ไมเนอร์ฯยังดำเนินกลยุทธ์ “ผนึกความร่วมมือกับพันธมิตร” อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ได้ร่วมทุนกับ “กลุ่มฟันยาร์ด” ขยายโรงแรมในเครือไมเนอร์ฯ สู่ “ตลาดจีน” หวังมีโรงแรมในประเทศจีน 100 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า หลังเปิดให้บริการแล้ว 8-9 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 30 แห่ง โดยตั้งเป้าโปรโมตขยายการรับรู้แก่นักท่องเที่ยวจีนเป็นวงกว้าง ไม่ใช่แค่โรงแรมในประเทศจีนเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าพักโรงแรมอื่นๆ ในต่างประเทศของเครือไมเนอร์ฯ ด้วย
นอกจากนี้ เครือไมเนอร์ฯยังร่วมทุนกับ “ADFD” (Abu Dhabi Fund For Development) ในการขยายโรงแรมหลายแห่ง โดยได้ลงทุน 100 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2565 ขณะที่ล่าสุดเครือไมเนอร์ฯได้ประกาศลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ “กองทุนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว” (Tourism Development Fund - TDF) ของประเทศซาอุดีอาระเบีย ในการพัฒนาโครงการโรงแรมและไลฟ์สไตล์ชั้นนำ จะมีการพัฒนาโครงการโรงแรมและรีสอร์ตภายใต้แบรนด์หลักของเครือไมเนอร์ฯ ได้แก่ อนันตรา อวานี ทิโวลี และ โอ๊คส์ ในหลายเมืองของซาอุฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะเปิดตัวโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือนี้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
