เปิดตลาดชุดชั้นในไทยหลังโควิดร้อนแรง 'จินตนา' รีแบรนด์ครั้งใหญ่รอบ 65 ปี

หลังโควิดผ่านไป จึงเห็นคลื่นการปรับตัวครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการไทย ที่มีการรีแบรนด์ใหม่เพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ รวมถึงตลาดชุดชั้นในสินค้าไอเทมคู่กายผู้หญิง โดย “จินตนา” แบรนด์ใหญ่ชุดชั้นในที่อยู่ในตลาดมายาวนาน เร่งเกมพลิกตลาดครั้งสำคัญในปีนี้เช่นกัน

นางสาวิตรี ธนาลงกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จินตนาอินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดชุดชั้นในไทย มีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา นับจากปี 2554 – 2555 ตลาดหดตัวลงประมาณ 20% เนื่องจากสถานการณ์โควิด ที่มีผลทำให้ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านและห้างสรรพสินค้าก็มีการปิดให้บริการชั่วคราว จากการล็อคดาวน์ ทำให้ตลาดชะลอตัว

ในปี 2566 ประเมินว่า ตลาดรวมชุดชั้นในจะกลับมาขยายตัว 10% หรือมีมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากการกลับมาใช้ชีวิตที่ปกติของผู้คน และห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดให้บริการตามปกติ จึงสามารถออกมาซื้อสินค้าชุดชั้นได้ พร้อมสามารถลองสวมใส่สินค้าที่ชอป รวมถึงมีแรงหนุนกับการเปิดประเทศที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยสินค้าชุดชั้นในเป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมของลูกค้าต่างชาติ

ทั้งนี้บริษัทเตรียมแผนการตลาดสำหรับแบรนด์ชุดชั้นใน จินตนา ในปี 2566 โดยวางแผนรีแบรนด์สินค้าครั้งใหญ่ ทั้งการปรับภาพลักษณ์สินค้าให้มีความเด็กลง เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุประมาณ 20 ปีต้นๆ ในกลุ่มคนเริ่มต้นทำงาน จากที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
 

พร้อมกับการปรับดีไซน์สินค้าใหม่ที่ผสมนวัตกรรมและการออกแบบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ภายใต้คอนเซปต์ “Solution Bra” เพื่อร่วมตอกย้ำให้ผู้หญิงทุกคนเลือกใส่ชุดชั้นในที่เหมาะสมกับสรีระ ทั้งหมดจะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์มีความเข้าถึงง่าย มีราคาที่จับต้องได้ มีคุณภาพ และมีมาตรฐาน

“ชุดชั้นในของผู้หญิง ควรมีการปรับเปลี่ยนในทุก 6-8 เดือน เนื่องจากเมื่อมีการนำไปทำความสะอาด ก็จะมีผลต่อรูปทรงของผ้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้”

บริษัทได้ตั้งเป้าหมายว่า จากการปรับภาพลักษณ์สินค้าครั้งใหญ่ พร้อมการรุกทำตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่มีการขยายไปในแพลตฟอร์มใหม่อย่าง TikTok และขยายสู่อีคอมเมิร์ซ จะทำให้ยอดขายรวมในประเทศสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 500 ล้านบาท เติบโต 20-30% จากปีก่อน พร้อมผลักดันทำให้แบรนด์ชุดชั้นใน จินตนา มีส่วนแบ่งในตลาดชุดชั้นใน เพิ่มขึ้นมาที่ 5% จากในปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3-4% เป็นแบรนด์ลำดับสามในตลาด