‘นิปปอนเพนต์’ ทรานส์ฟอร์มใหญ่ เปิดเกมรุกสู่ผู้นำนวัตกรรมสีใน 3-5 ปี

‘นิปปอนเพนต์’ ทรานส์ฟอร์มใหญ่  เปิดเกมรุกสู่ผู้นำนวัตกรรมสีใน 3-5 ปี

นิปปอนเพนต์ เบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมสีเอเชีย เร่งทรานฟอร์มองค์กรในไทยครั้งใหญ่ พร้อมเดินหน้าสู่ผู้นำตลาดสีไทยภายใน 3-5 ปี ชี้แนวโน้มตลาดสีไทยมูลค่าร่วม 5 หมื่นล้านบาทยังโตแข็งแกร่ง

มหันตภัยโควิดเป็นปัจจัยเร่ง! ให้องค์กรทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว เช่นเดียวกับ “นิปปอนเพนต์” ปรับกลยุทธ์และโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ รองรับการเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

วัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสี “นิปปอนเพนต์” กล่าวว่า กิจกรรมทางการตลาดที่กลับมาในวิถีปกติมากขึ้น ทั้งการเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมเป็นไปทิศทางที่ดี ประการสำคัญธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายโครงการใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอาคารสูง จึงส่งผลดีต่อการกระตุ้นตลาดโดยรวมขยายตัวต่อเนื่อง 

โดยภาพรวมตลาดสีในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งตลาดสีดังกล่าวแบ่งเป็น ตลาดสีทาบ้านและอาคารที่มีขนาดใหญ่สุด มีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 10% ขณะที่ปี 2565 ภาพรวมตลาดสีทาบ้านและอาคาร มูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท เติบโต 6%

“ตลาดสีในประเทศไทย เป็นตลาดที่มีรายใหญ่ และมีรายใหม่เข้ามาเรื่อยๆ มีทั้งแบรนด์ที่อยู่ได้ และอยู่ไม่ได้ เป็นตลาดเรดโอเชียน แข่งขันรุนแรง โดยตลาดจะแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม และการให้บริการแก่ลูกค้า”

‘นิปปอนเพนต์’ ทรานส์ฟอร์มใหญ่  เปิดเกมรุกสู่ผู้นำนวัตกรรมสีใน 3-5 ปี ทั้งนี้ “นิปปอนเพนต์” ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบรอบ 56 ปี  ​ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ในช่วงโควิด เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กรในระยะยาว ผ่านกลยุทธ์ “3C”  ประกอบด้วย “Customer Centric”  ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก “Customized Solution” การนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และ “Concreate Innovation” การคิดค้นและวิจัยพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมสีแก่ลูกค้า ตลอดจนการมุ่งยกระดับ เสริมทักษะของพนักงานในองค์กรอย่างไม่หยุดนิ่ง

ปัจจุบัน นิปปอนเพนต์ มีสีที่ครอบคลุมในทุกความต้องการ และสามารถสร้างสีนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและปลอดภัยต่อลูกค้า รวมถึงได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนมาตรฐานการผลิตสินค้าในโรงงาน เพื่อรองรับการก้าวสู่การจัดทำคาร์บอนฟรุตพริ้นท์ ตามเทรนด์ในตลาด

‘นิปปอนเพนต์’ ทรานส์ฟอร์มใหญ่  เปิดเกมรุกสู่ผู้นำนวัตกรรมสีใน 3-5 ปี ผงาดผู้นำตลาดสีใน 3-5 ปี

จากการปรับองค์กรและการวางกลยุทธ์การเติบโตครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำในตลาดสีโดยรวมของประเทศไทยให้ได้ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 2 ในตลาดสีโดยรวม 

พร้อมวางเป้าหมาย 3-5 ปีจะมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดสีทาบ้านและอาคารอยู่ในอันดับที่ 2 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 15% จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 4 ในตลาดทาบ้านและอาคาร ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 7% คาดว่าในสิ้นปี 2566 จะมีส่วนแบ่งการตลาด 9-10%

โดยภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะต้องสร้างยอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่ผู้นำในตลาดสีโดยรวมของประเทศไทย

ดันยอดนิวไฮรอบ 56 ปี

ขณะเดียวกันจากการปรับกลยุทธ์และโครงการสร้างองค์กรใหม่ ส่งผลทำให้ยอดขายรวมของบริษัทในปี 2565 เติบโต 30% หรือใกล้เคียง 10,000 ล้านบาท! สูงสุดในรอบ 56 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร โดยเป็นการเติบโตในทุกช่องทาง ทั้งร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และช่องทางออนไลน์ ส่วนในปี 2566 คาดการว่าสร้างยอดขายรวมเติบโต 25%

สำหรับในตลาดโลก “นิปปอนเพนต์”  รั้งแบรนด์อันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย และเป็นแบรนด์อันดับ 4 ในตลาดโลก

ที่ผ่านมา บริษัทได้มุ่งขยายช่องทางการขยายใหม่ โดยจะเพิ่มช่องทางออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการเติบโตแรงในช่วงโควิด ทำให้ในปัจจุบันช่องทางจำหน่ายสินค้าหลัก จะมาจากช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิม ประมาณ 50% รองลงมา ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 35% ที่เหลือเป็นช่องทางออนไลน์

“ช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิมเป็นช่องทางที่มีขนาดใหญ่สุด แต่เป็นช่องทางที่มีการขยายตัวในระดับน้อยเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ทำให้บริษัทได้เร่งปรับกลยุทธ์ไปขยายช่องทางอื่น ที่มีการเติบโตและมาแรง โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์”

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจะเป็นเรื่อง ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2564 และสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6-8% ในปีก่อน

ขณะเดียวกัน ในปีนี้จะต้องประเมินราคาวัตถุดิบว่าจะปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อสามารถประเมินราคาสินค้าได้อีกครั้ง โดยในปัจจุบันค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงอีกครั้งแล้ว จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ราคาสินค้าในปีนี้ได้