'แกรนท์ ธอนตัน' ชี้ ธุรกิจไทยเป็นผู้นำของโลกในด้านสถานภาพทางธุรกิจ

'แกรนท์ ธอนตัน' ชี้ ธุรกิจไทยเป็นผู้นำของโลกในด้านสถานภาพทางธุรกิจ

รายงานธุรกิจระหว่างประเทศ (IBR) ฉบับล่าสุดของแกรนท์ ธอนตัน เผยว่า กลุ่มภาครวมธุรกิจในประเทศไทยมีมุมมองบวกสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2560

รายงานธุรกิจระหว่างประเทศ (IBR) ฉบับล่าสุดของแกรนท์ ธอนตันแสดงให้เห็นว่า กลุ่มภาครวมธุรกิจขนาดกลางของประเทศไทยมีมุมมองที่เป็นบวกมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2560 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 สถานะทางธุรกิจของประเทศไทยดีขึ้น 3.8% จากครึ่งแรกของปี 2565 โดยดัชนีแตะที่ 8.8  นับเป็นจุดสูงสุดในรอบ 5 ปี และแซงหน้าค่าเฉลี่ยระดับภูมิภาคและระดับโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2560 ผู้นำธุรกิจในอาเซียนมีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้น ในขณะที่ผู้นำธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกยังคงเป็นขาลง

นายเอียน แพสโค ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วนของแกรนท์ ธอนตัน ระบุ 

“ผู้นำทางธุรกิจเตรียมพร้อมและรับมือได้ดีขึ้นหลังจากผ่าน 3 ปีแห่งความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประเทศไทยต้องเผชิญจากโรคระบาด การสำรวจทางธุรกิจของเราระบุว่า ธุรกิจไทยมีมุมมองที่เป็นบวกสำหรับปี 2566 เกี่ยวกับผลกระทบของปัจจัยภายนอกที่มีต่อธุรกิจของพวกเขา”

สถานภาพทางธุรกิจถูกกำหนดแนวโน้มเชิงเศรษฐกิจโดยรวมเข้ากับความรู้สึกที่มีต่อข้อจำกัดต่างๆ โดยมีดัชนีชี้วัดแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่สำคัญ 3 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ มุมมองเป็นบวกทางเศรษฐกิจ เงื่อนไขทางธุรกิจ และความตั้งใจในการลงทุน ลดลง 2.1%,  0.5% และ 3.4% ตามลำดับในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ดัชนีสภาพการของธุรกิจไทยได้รับแรงหนุนอย่างมากจากการปรับปรุงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ ความกังวลของธุรกิจเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ลดลง 9.6%จากครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเกี่ยวกับอุปทานลดลง 7.4%

\'แกรนท์ ธอนตัน\' ชี้ ธุรกิจไทยเป็นผู้นำของโลกในด้านสถานภาพทางธุรกิจ นายเอียน แพสโค และนายธันวา มหิทธิวาณิชชา

แม้จะมีความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงานที่สูง และปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม เช่น การลาออกครั้งใหญ่ ธุรกิจในประเทศไทยยังคงมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าธุรกิจต่าง ๆ ได้ปรับตัวและสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ พ.ศ. 2566 ในประเทศไทยมีเพียง 49% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วภูมิภาคที่ระบุว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเป็นข้อจำกัดหลัก ซึ่งเพิ่มขึ้น 18%จากช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ธุรกิจยังคงระมัดระวังเมื่อกล่าวถึงรายจ่ายทางการคลังและการลงทุน มีเพียง 36% ของบริษัทขนาดกลางในประเทศไทยที่ระบุว่าพวกเขาจะเพิ่มจำนวนพนักงานในปี 2566 ซึ่งความไม่พอเพียงของจำนวนบุคลากรที่มีความพร้อมในด้านทักษะไม่ใช่ข้อจำกัด อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาปัจจุบัน 

มีเพียง 26%ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยที่กล่าวว่าการขาดแคลนบุคลากรเป็นปัญหาสำคัญ เมื่อเทียบกับ 37% ของผู้ตอบแบบสอบถามในอาเซียนและ 57% ทั่วโลก แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่น่ายินดี บริษัทต่างๆ ทั่วประเทศไทยกำลังวางแผนการลงทุนเพียงเล็กน้อยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (มีเพียง 49%ซึ่งลดลง 12% จากครึ่งปีแรกของปี 2565) โรงงานและเครื่องจักร (39% ลดลง 5% จาก จากครึ่งปีแรกของปี 2565) และบุคลากร (36% ตามที่กล่าวไว้ ข้างต้น ลดลง 12%จากจากครึ่งปีแรกของปี 2565)

นายธันวา มหิทธิวาณิชชา หุ้นส่วนของแกรนท์ ธอนตัน ในประเทศไทย กล่าวว่า “ผลสำรวจเหล่านี้บ่งชี้ว่าผู้นำธุรกิจในประเทศไทยกำลังวางแผนลงทุนด้วยความระมัดระวัง อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ความท้าทายของอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ลดลง 12% ตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของปี 2565 บ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นของประเทศและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหลังโควิด ในขณะที่ประเทศไทยยังคงต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานภาพทางธุรกิจก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป”