"ภาษี" ยังไงก็หนีไม่พ้น! "ขายออนไลน์" รายได้เท่าไรถึงต้อง "ยื่นภาษี"

"ภาษี" ยังไงก็หนีไม่พ้น! "ขายออนไลน์" รายได้เท่าไรถึงต้อง "ยื่นภาษี"

“แม่ค้าออนไลน์” ต้องรู้ว่ารายได้เท่าไรถึงต้อง “ยื่นแบบภาษี” และรายได้เท่าไรถึงต้อง “เสียภาษี” หากไม่เสียภาษีตามกฎหมาย อาจโดนเรียกภาษีย้อนหลังและโดนปรับ 2 เท่า

ใกล้ปลายปีแล้วอย่าลืมเตรียมตัวยื่นแบบภาษี โดยเฉพาะอาชีพ “แม่ค้าออนไลน์” ต้องรู้ว่ารายได้เท่าไรถึงต้อง “ยื่นภาษี” และรายได้เท่าไรถึงต้อง “เสียภาษี” 

โดยมีข้อมูลจาก ดร.พีรภัทร ฝอยทอง ทนายความ ที่ปรึกษากฎหมาย และนักวางแผนการเงินส่วนบุคคล เจ้าของเพจ “Dr. Pete Peerapat” ได้อธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีจัดการ “ภาษี” เบื้องต้นที่ผู้มีอาชีพ “ขายของออนไลน์” ต้องรู้ เอาไว้ดังนี้

1. ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ทุกคน ต้องเสียภาษี

ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่ถ้ามีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (กรณีลูกจ้างบริษัท หากมีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาทต่อปี) ก็ต้องยื่นแบบภาษีทุกคน

2. ขายของออนไลน์ รายได้เกิน 60,000 บาทต่อปีต้องยื่นภาษี

การยื่นแบบเสียภาษี กับ การเสียภาษี คนละเรื่องกัน หากคุณมีรายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องยื่นแบบเสียภาษีไปก่อน ส่วนจะเสียภาษีหรือไม่จะต้องดูรายได้สุทธิอีกที กรณีคนขายของออนไลน์เงินได้สุทธิเกิน 60,000 บาทต่อปีต้องยื่นแบบภาษี ซึ่งตรงนี้จะแบ่งเป็น 2 กรณี คือ

*กรณีต้องยื่นแบบภาษี*

หากเป็นบุคคลธรรมดาที่ทำอาชีพ “ขายของออนไลน์” (ไม่เปิดขายในฐานะของนิติบุคคล) ที่มีรายได้จากการขายของออนไลน์ เมื่อมีได้รายเกิน 60,000 บาท (กรณีโสด) หรือมีรายได้เกิน 120,000 บาท (กรณีสมรส) จะต้องยื่นภาษีเงินได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

\"ภาษี\" ยังไงก็หนีไม่พ้น! \"ขายออนไลน์\" รายได้เท่าไรถึงต้อง \"ยื่นภาษี\"

*กรณีต้องยื่นแบบและต้องเสียภาษี*

การขายของออนไลน์ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ยังถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจะเสียภาษีหรือไม่เสียภาษีนี้จะต้องขึ้นอยู่กับว่าเรามี "เงินได้สุทธิ" หรือ "กำไรสุทธิ" ต่อปีเท่าไร เมื่อหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนออกไปแล้ว โดยตามหลักเกณฑ์ คือ ยิ่งมีเงินได้สุทธิมากย่ิงเสียภาษีในอัตราที่มาก ตามขั้นบันได ดังนี้

  • เงินได้สุทธิ 1 - 150,000 บาท/ปี ไม่ต้องเสียภาษี 
  • เงินได้สุทธิ 150,001 - 300,000 บาท/ปี เสียภาษี 5% 
  • เงินได้สุทธิ 300,001 - 500,000 บาท/ปี >> เสียภาษี 10% 
  • เงินได้สุทธิ 500,001 - 750,000 บาท/ปี >> เสียภาษี 15% 
  • เงินได้สุทธิ 750,001 - 1,000,000 บาท/ปี >> เสียภาษี 20% 
  • เงินได้สุทธิ 1,000,001 - 2,000,000 บาท/ปี >> เสียภาษี 25% 
  • เงินได้สุทธิ 2,000,001 - 5,000,000 บาท/ปี >> เสียภาษี 30% 
  • เงินได้สุทธิ 5,000,001 ขึ้นไป >> เสียภาษี 35% ของรายได้

3. สรรพากรตรวจสอบรายได้ “ผู้ค้าขายออนไลน์” ได้เสมอ

สรรพากรไม่เพียงตามติดชีวิตในโซเชียลของผู้ค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังได้รับข้อมูลทางการเงินของผู้ค้าออนไลน์จากธนาคารด้วย เช่น หากแม่ค้าออนไลน์ A มีเงินเข้าบัญชีเกิน 3,000 ครั้งต่อปี หรือเกิน 400 ครั้งต่อปีและได้เงินรวม 2 ล้านบาทขึ้นไป สรรพากรจะทราบข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด ดังนั้น แม้แม่ค้าออนไลน์ A จะไม่โพสต์รายได้ขึ้นบนโซเชียลมีเดีย แต่สรรพากรก็ตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้อยู่ดี

4. หากผู้ค้าออนไลน์ไม่ยื่นภาษี จะโดนติดตามภาษี 10 ปี

ถ้าผู้ค้าขายออนไลน์ไม่ยื่นแบบภาษีตามกฎหมาย สรรพากรก็มีหน้าที่ติดตามเก็บภาษีกับผู้ค้าออนไลน์ต่อไปอีก 10 ปี แต่ถ้ายื่นแบบไปแล้ว แต่ยื่นไม่ถูกต้อง อายุความจะลดเหลือแค่ 5 ปีเท่านั้น 

\"ภาษี\" ยังไงก็หนีไม่พ้น! \"ขายออนไลน์\" รายได้เท่าไรถึงต้อง \"ยื่นภาษี\"

5. หากโดนเรียกภาษีย่อนหลัง จะโดนค่าปรับ 2 เท่า

กรณีผู้ค้าขายออนไลน์ไม่ยื่นแบบภาษี โดนเรียกภาษีย้อนหลัง จะโดนเบี้ยปรับ 1-2 เท่า บวกกับเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ดังนั้น จากที่ผู้ค้าออนไลน์อาจจะต้องเสียภาษีเพียง 1 ล้านบาท แต่หากรวมๆ กับค่าปรับแล้วอาจต้องจ่ายสูงถึง 3-4 ล้านบาทเลยทีเดียว

6. คนขายของออนไลน์ เลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ

ผู้มีอาชีพขายของออนไลน์ สามารถยื่นแบบภาษีโดยเลือกวิธี “หักค่าใช้จ่าย” ได้ 2 แบบ คือ แบบแรกเลือกจ่ายตามจริง (ต้องมีใบเสร็จที่เป็นต้นทุน) หรือแบบที่สอง เลือกยื่นภาษีแบบจะหักเหมา 60% ก็ได้

7. แม้ไม่จดทะเบียนนิติบุคคล แต่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์

ผู้ค้าขายออนไลน์ต้องเข้าใจว่า “การจดทะเบียนพาณิชย์” กับ “จดทะเบียนเป็นบริษัท” เป็นคนละเรื่องกัน โดยผู้ที่เปิดร้านขายของออนไลน์ทุกคน จะต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายนี้บังคับทั้งการขายของออนไลน์แบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งแบบมีหน้าร้านและไม่มีหน้าร้าน หากไม่ทำตามก็มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท และปรับไม่เกินวันละ 100 บาท จนกว่าจะไปจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย

8. หากรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT ด้วย

หากขายของออนไลน์แล้วมีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ผู้ค้าขายออนไลน์ต้องมีหน้าที่ไป “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” ด้วย แม้เป็นบุคคลธรรมดาก็ต้องจด ไม่จดไม่ได้ หากถึงเกณฑ์ต้องจด VAT แล้วไม่จด แปลว่าคุณไม่ได้นำส่ง VAT 7% ตามกฎหมาย ที่ต้องเก็บจากลูกค้าให้สรรพากร ผู้ค้าออนไลน์ก็ต้องมีหนี้ภาษี VAT ในส่วนนี้กับสรรพากรเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

9. หากไม่สามารถจ่ายภาษีทั้งก้อนได้ สรรพากรให้ผ่อนจ่ายได้

กรณีที่ผู้ค้าขายออนไลน์ไม่มีเงินจ่ายภาษี สรรพากรก็อนุญาตให้คุณผ่อนจ่ายได้ แต่อย่างไรก็ตาม เคยเกิดกรณีบางคนที่ไม่มีจ่ายเลย สุดท้ายโดนเรียภาษีย้อนหลังถึงขั้นฟ้องล้มละลายเลยก็มี

\"ภาษี\" ยังไงก็หนีไม่พ้น! \"ขายออนไลน์\" รายได้เท่าไรถึงต้อง \"ยื่นภาษี\"

นอกจากนี้ มีคำแนะนำสำหรับผู้ค้าขายของออนไลน์ ในการเตรียมตัวจัดการภาษี ดังนี้ 

ขั้นตอนที่ 1 จดบันทึกรายการซื้อ-ขายสินค้า เพื่อนำมาใช้ในการทำบัญชีรายรับรายจ่ายรายวัน ทำให้ไม่ลืม ไม่สับสน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการเรื่องเงินได้ง่ายกว่าการทำย้อนหลังมากๆ 

ขั้นตอนที่ 2 เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการค้า ธุรกรรมทางการเงิน จะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเมื่อสรรพากรเข้ามาขอตรวจสอบอีกด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ตรวจสอบพบว่าความถี่และจำนวนเงินโอนเข้าบัญชีเข้าเกณฑ์ภาษีอีเพย์เมนต์ ตามที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น

ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาและติดตามข่าวสารทางด้านการเงินและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาษีอย่างต่อเนื่อง เพราะเงื่อนไขในแต่ละปี มีอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ การอัพเดทอยู่เสมอจะช่วยให้จัดการภาษีได้ถูกต้องตามเงื่อนไข จัดการการเงินของตัวเองได้อย่างเหมาะสม และไม่มีปัญหาย้อนหลัง 

----------------------------------------

อ้างอิง : Dr.Pete PeerapatKrungsri Guru, กรมสรรพากร