ตลาดโลกผันผวน กดดันเม็ดเงินไหลออกกองทุน

ตลาดโลกผันผวน กดดันเม็ดเงินไหลออกกองทุน

ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ถือว่าการลงทุนมีหลายปัจจัยที่ส่งผลในเชิงลบ ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยและลดคิวทีของเฟดเร่งตัวขึ้น และสงครามระหว่างรัสเซียกับสหรัฐ ที่ยังยืดเยื้อและไร้ทางออก ทำให้ตลาดผันผวน โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้นไทย”  

กดดันการลงทุน “กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ” ในช่วงไตรมาส1ปี 2565 ยังเป็นขายสุทธิตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่า  82,166.06 ล้านบาท แบ่งเป็น เดือนม.ค.ขายสุทธิ  25,183.17 ล้านบาท   เดือนก.พ. ขายสุทธิ 39,299.14 ล้านบาท  เดือน มี.ค. ขายสุทธิ  17,683.7 ล้านบาท  

สอดรับกับรายงานของทาง "มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย ) ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 กองทุนรวมไทย  (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund) มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.1 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่หดตัวลง 4.2% จากสิ้นปี 2564 โดยเป็นการหดตัวลงในทุกประเภทกองทุน ยกเว้นกองทุนตราสารตลาดเงิน 

นักลงทุนไม่กล้าลงทุนเพิ่ม 

"ศุภรัตน์ อารีย์วงศ์" ผู้บริหารกลุ่มกลยุทธ์การตลาดและผลิตภัณฑ์การลงทุน บรบลจ.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBAM เปิดเผยว่า  มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมในภาพรวมปรับตัวลงมา สาเหตุจากมูลค่าตลาดที่ปรับตัวลดลงและเงินไหลเข้าออกกองทุนค่อนข้างเงียบหรือทรงตัวจากช่วงไตรมาส 4 ปีก่อน

ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาวะตลาดผันผวนทั้งจากทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นและมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากภาวะสงครามรัสเซียกับยูเครนดึงเครียดขึ้น และแม้ตอนนี้จะมีความหวังในทิศทางที่ดีขึ้น แต่มีโอกาสเยื้อยืดและยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ นักลงทุนยังไม่ตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม 

ในส่วนของบลจ.ไทยพาณิชย์ พบว่า ณ ก.พ. 2565 มี AUM 1.62  ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 1.66 ล้านล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1.6 ล้านล้านบาท

 อย่างไรก็ตามในของ บลจ.ไทยพาณิชย์  ช่วงไตรมาส 1 ปีนี้  ยังพอมีเม็ดเงินบางส่วนเข้ามาลงทุนมากกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ในกองทุนคอมมูนิตี้ เช่น  ทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อและ  น้ำมัน ตามราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และเข้ามาพักเงินในกองทุนมันนี่มาร์เก็ต หรือเทอมฟันด์ ระยะ 6 เดือน -1ปี  และยังไม่มีเงินไหลออกจากองทุนหุ้นไทยและต่างประเทศ  คาดว่าส่วนหนึ่งตลาดหุ้นปรับฐานลงเกินกว่าที่จะขายและนักลงทุนยังต้องการถือไว้เพื่อรอดูสถานการณ์ชัดเจนก่อน  

ผู้จัดการกองทุน มองว่า เทรนด์หลักตอนนี้เริ่มมีทิศทางดีขึ้น ตลาดรับข่าวเฟดขึ้นดอกเบี้ย และหวังว่าสถานการณ์รัสเซียกับยูเครนจะไปในทิศทางดีขึ้น  แต่ตลาดยังมีความผันผวน ยังมองการลงทุนในหุ้นไทยที่เป็นหุ้นคุณภาพ และหุ้นปลอดภัย (Defensive) เช่น กลุ่มเฮลธ์แคร์ และยูทิลิตี้  รวมถึงธีมการเปิดเมือง ทั้งหุ้นไทยและเวียดนาม  ส่วนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว ไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองรีท เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ สำหรับหุ้นไทยยังมองเชิงบวกดัชนีปีนี้ 1,800 จุด 

เงินไหลออก “กองทุนหุ้น-บอนด์ไทย” 

 “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ทหารไทย อิสท์สปริง (TMBAM Eastspring ) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ พบว่า เม็ดเงินลงทุนในการลงทุนในต่างประเทศ กองหุ้น เพิ่มขึ้น 12.8% กองตราสารหนี้ ลดลง 7.5% กองผสม ลดลง 0.5% 

ขณะที่การลงทุนในประเทศกองหุ้น ลดลง 2.8% กองตราสารหนี้ ลดลง 13% กองมันนี่มาร์เก็ต(ตราสารหนี้ระยะสั้น) เพิ่ม 4.9% ส่วนการลงทุนคอมมูนิตี้ ทั้งไทยและต่างประเทศ ลดลง 1.8%

โดยทิศทางเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวม สอดคล้องกับภาวะเฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อการลงทุนตราสารหนี้ ไม่น่าสนใจ และกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยปรับฐาน ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากองทุนตราสารหนี้ ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงหุ้นไทย

และจะพบว่าเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า 2 กลุ่มกองทุนอย่างชัดเจน คือ กองหุ้นต่างประเทศ สะท้อนนักลงทุนไม่ได้กังวลต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แม้ตลาดโลกผันผวนแต่มองเป็นโอกาสมากกว่า จากทิศทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังมีโอกาสฟื้นตัวและธนาคารกลางต่างๆ ยังมีความพยายามขึ้นดอกเบี้ยเพื่อเบรกเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และส่วนหนึ่งเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไปพักเงินช่วงสั้นในกองทุนมันนี่มาร์เก็ต (ตราสารหนี้ระยะสั้น) ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

ขณะที่ภาพการลงทุนในเดือนมี.ค. สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง พบว่า ปลายเดือนก.พ.จนถึงครึ่งแรกของเดือนมี.ค. ยังใกล้เคียงช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยตลาดมีความผันผวนมากขึ้น จากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนรุนแรงขึ้น การเจรจาสันติยังไม่มีรูปแบบที่แน่นอน กดดันให้ตลาดหุ้นต่างประเทศและหุ้นไทย ปรับฐานลง 8-12%

แต่ในช่วงตั้งแต่ครึ่งหลังของเดือนมี.ค. จนถึงปัจจุบัน เริ่มเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาเพิ่มขึ้นในกองหุ้นต่างประเทศและหุ้นไทย หลังจากตลาดปรับฐานลง คาดว่าจะเป็นทิศทางต่อเนื่องในช่วงในไตรมาส 2 แต่ยังมีความผันผวน คาดว่าตลาดจะเป็นขาขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 3 มากกว่า 

ในส่วนของเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนของ บลจ.ทหารไทย ยังใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม เป็นเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นต่างประเทศอย่างชัดเจน และเงินไหลออกจากกองทุนตราสารหนี้แต่เป็นเม็ดเงินไหลออกน้อยกว่าอุตสาหกรรม

หวังปีนี้อุตสาหกรรมกองทุนโต     

"ชัชพล สีวลีพันธ์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า   อุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทยในไตรมาสแรกปีนี้ ปรับตัวลดลง เนื่องมาจากการปรับตัวลงของราคาสินทรัพย์ที่ไปลงทุน แต่ในด้านภาพรวมเรายังเห็นนักลงทุนทยอยลงทุนในกองทุนหุ้นทั่วโลก และ รายประเทศที่เชื่อว่าน่าจะมีการเติบโตได้ในระยะยาว

โดยนักลงทุนไทยจากที่ยังคงเน้นไปที่การลงทุนในกลุ่ม GLOBAL Equity และ หุ้นรายประเทศมากที่สุด ส่วนในกลุ่มที่นักลงทุนมีการขายออกมากที่สุด ยังคงเป็นในกลุ่มหุ้นภายในประเทศ และกลุ่มตราสารหนี้ทั้งในและ ต่างประเทศ

หากไปดูยอดเงินลงทุนทั่วโลก ก็จะเห็นว่า ในภาพรวมจะเป็นการ Rotation การลงทุนในตราสารทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนคาดว่าจะมีความเสี่ยงทางด้านการเติบโต หรือปัจจัยต่างๆที่อาจจะส่งผลกระทบเปลี่ยนไปยังกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆน้อยกว่า และ Valuation ไม่ได้แพงมากนักเช่น ในกลุ่ม มากกว่าที่จะเงิน Financials Sector Equity , Energy Sector Equity ที่มีเงินไหลเข้าเป็นบวกตั้งแต่ต้นปี ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีไหลออกจากการลงทุนมากที่สุดได้แก่ Technology Sector Equity

ขณะที่ แนวโน้มการลงทุนในปีนี้เรายังมองว่า ณ สิ้นปียังมีความเป็นไปได้ที่ทั้งอุตสาหกรรมจะยังคงกลับมาเป็นยอดการเติบโตเป็น    บวกได้อยู่ หากสถาการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จบลง รวมถึงความชัดเจนทางด้านนโยบายของแต่ละประเทศต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ที่จะทยอยออกมากระตุ้นทางเศรษฐกิจและทำให้ภาพรวมการลงทุนดีขึ้นในครึ่งปีหลังของปีนี้

เงินไหลเพักกองตลาดเงินระยะสั้น 

"อรพรรณ ตัณฑประศาสน์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนบลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนมีความกังวลกับสถานการณ์ครามรัสเซีย และยูเครน รวมถึงนักลงทุนรอความชัดเจนของทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อีก ทำให้เงินมีไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้นและตราสารหนี้ต่างประเทศและไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนตลาดเงินระยะสั้น 

ทั้งนี้ หากสงครามคลี่คลาย น่าจะทำให้ระดับราคาพลังงานรวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อปรับลดลงได้บ้าง และน่าจะมีเงินทุนไหลกลับมาที่กองทุนหุ้นได้ นอกจากนี้ตลาดที่อาจจะยังมีความผันผวนอยู่ อาจเห็นเงินทุนมีการไหลเข้ามาที่กองทุนสินทรัพย์ทางเลือก หรือกองทุนที่เน้นสร้างรายได้ ที่สามารถสร้างผลตอบแทน แม้ภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง