ธ.ก.ส. ผนึก กอช. หนุน ’เกษตรกร-อาชีพอิสระ’

ธ.ก.ส. ร่วมกับ กอช. เดินหน้าส่งเสริมการออมเกษตรกร-อาชีพอิสระ ให้บริการออกสมุดเงินออมแก่สมาชิก กอช. ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อใช้ตรวจสอบยอดเงินออม เงินสมทบจากรัฐและผลประโยชน์เพิ่มจากการออม สร้างความมั่นใจให้กับสมาชิก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาคม  เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการให้บริการหน่วยรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ระหว่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ระบุว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการวางแผนออมเงินของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยได้กำหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งหวังให้ประชาชนได้มีความมั่นคงในบั้นปลายชีวิตหลังอายุ 60 ปี  พร้อมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงวัย ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ซึ่งถือเป็นกองทุนการออมภาคประชาชน เป็นกลไกส่งเสริมการออมของประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบ  ไม่มีสวัสดิการรองรับ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อสม. พ่อค้าแม่ค้า เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก กอช. ในส่วนของ ธ.ก.ส. เป็นธนาคารที่ให้บริการกับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะในภาคชนบท โดยยังมีการส่งเสริมการออมให้สถานศึกษาในรูปแบบโรงเรียนธนาคารแก่นักเรียน  ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ได้ร่วมกันผนึกกำลังขับเคลื่อนส่งเสริมการออมให้ประชาชน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ  ได้มีการตระหนักถึงการวางแผนทางการเงิน  เพื่อให้มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณโดยเฉพาะในวันที่ไม่มีแรงทำงาน จะได้มีเงินออมส่วนนี้ไว้ใช้จ่ายรายเดือน

ธ.ก.ส.หนุนสินเชื่อเกษตรแปลงใหญ่ วงเงิน 2 หมื่นล้าน

นอกจากนี้  ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแปลงใหญ่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มและจัดหาปัจจัยการผลิตร่วมกัน  ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งการผลิต การแปรรูป การรวบรวมผลผลิตเพื่อจำหน่าย โดยสนับสนุนเงินทุนให้แก่กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตร เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ค่าลงทุน วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท  อัตราดอกเบี้ยทั้งโครงการ 3.01% ต่อปี  โดยกลุ่มเกษตรกรฯจ่ายดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี หรือล้านละร้อย

ทั้งนี้รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส.แทนเกษตรกร 2.875% ต่อปี  และธ.ก.ส.รับภาระดอกเบี้ยเอง 0.125% ต่อปี  ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีนับตั้งแต่วันกู้  เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 30  มิถุนายน 2575  ปัจจุบันปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มเกษตรกรฯไปแล้ว 366  กลุ่ม เป็นเงิน 2,104.70 ล้านบาท  ในส่วนของพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 7 กลุ่ม  เป็นเงิน 8.14 ล้านบาท

สำหรับหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแปลงใหญ่  ต้องเป็นสหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร ที่รวมตัวกันตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป และมีพื้นที่การผลิต ทั้งประเภทพืชไร่ ยางพารา ข้าว ปาล์ม   ไม้ผล  พืชผัก  ไม้ดอก   ประมงและปศุสัตว์  รวมกันตั้งแต่ 300 ไร่ขึ้นไป  


ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตดอกเบญจมาศแปลงใหญ่บ้านตาติด ตำบลในเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นตัวอย่างการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาการเกษตรแปลงใหญ่ที่สามารถลดต้นทุนการผลิต เช่น การซื้อปุ๋ย ยา กระดาษในการห่อดอกเบญมาศ  รวมถึงการขยายองค์ความรู้ในการผลิตต้นพันธุ์เอง  ช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับสมาชิกกว่า 43 ราย  ที่สำคัญทำให้กลุ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ค้าและผู้ซื้อทั่วประเทศและเป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายดอกเบญจมาศในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างทั้งหมด  หากกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ฯที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา