บิ๊กA5 "ศุภโชค" แจงช่วงหุ้นดิ่ง ไม่ได้ขายหุ้น เหตุ ติดไซเรนท์ทั้งหมด44%

บิ๊กA5 "ศุภโชค" แจงช่วงหุ้นดิ่ง ไม่ได้ขายหุ้น เหตุ ติดไซเรนท์ทั้งหมด44%

"ศุภโชค ปัญจทรัพย์ "ประธาน A5 แจง ช่วงหุ้นร่วงหนัก หลังกลับมาเทรด ส่วนตัวได้ขายหุ้นออกมา เหตุ หุ้นทั้งหมดติดไซเรนท์พีเรียด 536.80 ล้านหุ้น หรือ 44.39% ย้ำ ไม่รู้จักอดีตผู้บริหาร ADAM พร้อมเดินหน้าดำเนินดันบริษัทเติบโต หวังเป็นซุปเปอร์สตาร์ในธุรกิจอสังหาในอนาคต

นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานกรรมการบริหารและ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  A5  เปิดเผยว่า  ในช่วงที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนตัวไม่ได้ขายหุ้น A5 ออกมา เพราะ หุ้นทั้งหมดจำนวน 536.80 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 44.39% อยู่ในช่วงเวลาการห้ามขายหุ้น (ติดไซเรนท์พีเรียด  

 "ผมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานานและต้องการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการเข้ามาจดทะเบียนด้วยวิธีเข้าจดทะเบียนทางอ้อม (Backdoor Listing )จะเร็วกว่า ซึ่งส่วนตัวรู้จักกับนายเกรียงไกร ศิระวณิชการ  ซึ่งตอนนี้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น (ADAM) จึงชวนเข้ามาซื้อหุ้น และมองว่าบริษัทไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะ คุณเกรียงไกร ได้จัดการให้เป็นบริษัทคลีนแล้ว  "
 

     ทั้งนี้ส่วนตัวมีความตั้งใจที่จะทำให้  A5 เป็นซุปเปอร์สตาร์ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการเติบโตที่ดี  ซึ่งA5มีศักยภาพการเติบโต   โดยบริษัทมีกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ชัดเจนเป็นกลุ่มระดับบน และโครงการของเรานั้นมีความแตกต่างจากผู้ประกอบการอสังหาในตลาด  ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้  ส่วนของราคาหุ้นนั้น ส่วนตัวไม่ได้เข้าไปทำอะไร ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกลตลาด    

 "โดยหุ้นที่ปรับตัวลดลงนั้น มองว่าเป็นเรื่องกลไกของตลาด ซึ่งในวัแรกที่หุ้นกลับมาเทรดนั้น ไม่ได้มีซิลลิ่งและฟลอร์ ทำให้ราคาหุ้นเหวี่ยงแรงได้ และส่วนตัวไม่ได้เข้าไปเกี่ยวกับ ป.สายม่วง และไม่รู้จักกับอดีตผู้ถือหุ้นของ ADAM "
 

   นายศุภโชค กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปี 2569 จะมีรายได้อยู่ที่ 5,000-6,000 ล้าบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% ต่อปี โดยในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท  ซึ่งจะเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง โดยปีนี้จะเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท

 ทั้งนี้จะเป็นโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ มูลค่า 2,700 ล้านบาท  ซึ่งจะเปิดโครการในไตรมาส 4 ปีนี้ และที่เหลือ 2 โครงการ อยู่ในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งจะเป็นบ้านแฝดและบ้านเดี่ยว    

 นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการซื้อที่ดินอีก  2-3 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ปีหน้า ซึ่งตั้งงบลงทุนไว้ที่ 2,500 ล้านบาท

"ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่พร้อมขายอยู่ 7 โครงการ  ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้และปีหน้า "