AUTOMOTIVE SECTOR - ยังพอรับมือไหว (11 มี.ค. 65)

AUTOMOTIVE SECTOR - ยังพอรับมือไหว (11 มี.ค. 65)

ห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ได้รับผลกระทบจากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกหลัก Palladium ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิต เซมิคอนดักเตอร์

แต่เรามองว่าจะมีผลกระทบจำกัดเนื่องจาก (1) ห่วงโซ่อุปทานในเอเชียแข็งแกร่ง และ (2) รถกระบะต้องการใช้ชิปน้อยกว่ารถยนต์โดยสาร เราเลือก SAT (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท) เป็นหุ้นเด่นเนื่องจากมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า

 

สงครามทำให้เกิดความกังวลการขาดแคลนชิป

ผู้ผลิตรถยนต์ใช้พาลาเดียม 80% ของปริมาณที่ผลิตได้ในแต่ละปีที่ 8 ล้านออนซ์ Palladium เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนี้ Palladium ยังใช้ในท่อไอเสียเพื่อการลดการปล่อยมลพิษจากไอเสีย ล่าสุดต้นทุนพาลาเดียมเพิ่มขึ้น 30% เป็น 2,914 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน ราคาพาลาเดียมอาจเพิ่มขึ้นต่อหากมีการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นต่อรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Palladium ที่ใหญ่ที่สุด  คิดเป็น 21% ของการส่งออกพาลาเดียมทั่วโลก อย่างไรก็ตามผู้ผลิตรถยนต์กำลังพยายามลดต้นทุนดังกล่าวโดยการใช้ Platinum ที่มีราคาถูกกว่าทดแทน รวมถึงเปลี่ยนไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้ Palladium ในการเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ควบคุมมลพิษจากไอเสีย

สามารถส่งผ่านต้นทุนเหล็กที่สูงขึ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์

ราคาเหล็กรีดร้อน (HRC) ในจีนเพิ่มขึ้น 6% เป็น CNY5,180/ตัน ตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน ราคา HRC อาจเพิ่มขึ้นต่อหากมีการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นต่อรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กอันดับที่ห้าในปี 2019 รัสเซียส่งออกเหล็ก 5% ของการส่งออกเหล็กทั่วโลก ขณะที่ AH และ SAT ใช้เวลา 3-6 เดือนในการปรับราคาขายเพื่อสะท้อนต้นทุนเหล็กที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่าราคาเหล็กอาจอยู่ในระดับสูงไม่นาน เนื่องจากจีนซึ่งเป็นผลิตและส่งออกรายใหญ่ที่สุด สามารถเพิ่มอัตราการผลิตจากระดับปัจจุบันที่ 70% เป็น 73% ก็สามารถชดเชยปริมาณส่งออกของรัสเซียที่ราว 30-40 ล้านตันต่อปีได้แล้ว

 

ผลกระทบเชิงลบอยู่ในระดับที่บริหารได้

AH และ SAT มีแนวโน้มได้รับผลกระทบเชิงลบจากการขาดแคลนชิปในระยะสั้น แตเรามองผลกระทบค่อนข้างจำกัดในระยะสั้น เนื่องจาก (1) ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งกว่าในเอเชีย และ (2) รถกระบะต้องการใช้ชิปน้อยกว่ารถยนต์โดยสาร แม้จะมีปัญหาขาดแคลนชิปในปี 2021 แต่การผลิตยานยนต์ในประเทศเติบโต 17% (แบ่งเป็นกระบะโต 20% และรถยนต์นั่งโดยสารโต 11%) เทียบกับการผลิตทั่วโลกที่เติบโตเพียง 3% เราเลือก SAT (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท) เป็นหุ้นเด่นเนื่องจาก (1) SAT ไม่มีกิจการร่วมค้าในยุโรปเหมือน AH และ (2) รายได้ของ SAT จากส่วนงานชิ้นส่วนรถกระบะและรถแทรกเตอร์คิดเป็น 65% และ 26% ของรายได้รวม สูงกว่าของ AH ที่ 42% ซึ่งชี้ให้เห็นว่า SAT จะได้รับผลกระทบดังกล่าวน้อยกว่า