PTTGC กางแผนปี 65 ลุยธุรกิจ 5 เมกะเทรนด์ เดินหน้าลดคาร์บอนเป็นศูนย์

PTTGC กางแผนปี 65 ลุยธุรกิจ 5 เมกะเทรนด์ เดินหน้าลดคาร์บอนเป็นศูนย์

PTTGC ชี้น้ำมันแพงกดเศรษฐกิจโลก บริหารสต๊อกให้สอดคล้องสถานการณ์ เดินหน้าเพิ่มมูลค่าธุรกิจรับ 5 เมกะเทรนด์โลก เผยรายได้ปี 64 แตะ 4.6 แสนล้านเพิ่มขึ้น 43%

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่สูงขณะนี้ส่งผลให้มาร์จินโรงกลั่นไปได้ดี ส่วนปิโตรเคมีทรงตัวจากกำลังผลิตใหม่ที่ออกสู่ตลาดมากขึ้นซึ่งราคาเม็ดพลาสติกดีขึ้น แต่พาราไซลีน (Paraxylene) และสายเบนซีน (Benzene) ลดลงซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจในกลุ่มธุรกิจเก่าจะขึ้นไม่ดีมักขึ้นกับจำนวนกับดีมานด์และซัพพลาย ในส่วนของ GC มีสต็อกน้ำมันจึงไม่ได้รับผลกระทบแต่ห่วงจีดีพีโลก ราคาน้ำมันสูง กลุ่มโรงกลั่นเราผลิตดีเซลและฟิวออยล์จึงไม่มีคำตอบที่วิเศษว่าสูงและดีหรือไม่ดี เพราะหากราคาน้ำมันสูงมีสต็อกก็ดีอยู่แล้ว แต่อาจกระทบเศรษฐกิจโลกไม่ทำให้ดีจีดีพีต่ำด้วย

ลุยธุรกิจ 5 เมกะเทรนด์

สำหรับทิศทางการดำเนินงานปี 2565 เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจอนาคตและสอดคล้อง 5 เมกะเทรนด์โลก ประกอบด้วย Climate Change & Energy Transition, Demographic Shift, Health&Wellness, Urbanization และ Disruptive Technology ที่มีผลต่อการเติบโต การดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ การแข่งขันทางการค้าและการปรับเปลี่ยนทิศทางของภาคอุตสาหกรรมสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ

ดังนั้น บริษัทฯ ได้เดินหน้าธุรกิจแห่งอนาคตตอบโจทย์ลูกค้าอาทิ โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงคาดจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T ที่13,000 ตันต่อปี และ HSBC ที่ 16,000 ตันต่อปีและโครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (PP) ของบริษัท HMC Polymers การปรับโครงสร้างธุรกิจ PVC ภายหลัง VNT ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายตลาด PVC ไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลุยธุรกิจคาร์บอนต่ำ

รวมทั้งบริษัทฯ ได้มุ่งสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ โดยบริหารพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ และการขับเคลื่อนการชดเชยคาร์บอน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางธุรกิจ และยังได้ Transform องค์กร ได้แก่ Digital Transformation, Market Focused Business Transformation, Lean Process and Organization Transformation รวมทั้งปรับองค์กรเพื่อการดำเนินงานด้าน Decarbonization

ทั้งนี้ หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ Allnex เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ โดยการปรับองค์กรตั้งหน่วยงานธุรกิจต่างประเทศขึ้น มุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้างโอกาสในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ สนองตอบความต้องการของผู้บริโภค และเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากลสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลสอดรับกับเมกะเทรนด์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

รายได้ปี 64 โต 43%

นอกจากนี้ เดือน มี.ค.2564 ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิให้กับนักลงทุน และสถาบันต่างประเทศรวม 1,250 ล้านดอลลาร์ มียอดจองซื้อกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ และออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินบาทรวม 30,000 ล้านบาท ให้ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ในเดือน ม.ค.2565 มียอดจอง 1.5 เท่าของวงเงินที่เสนอขาย

ทั้งนี้ ปี 2564 มีรายได้จากการขายรวม 465,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% และปี 2564 มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและการปรับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง และรายการพิเศษอื่นที่ 55,186 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 93% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ปี 2564 มีกำไรสุทธิรวม 44,982 ล้านบาท (10.01 บาท/หุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% จากปี 2563

“คาดผลการดำเนินงานปีนี้จะดีต่อเนื่องและรับรู้ผลกำไรจากการเข้าซื้อกิจการของ Allnex ที่คาดว่าจะมีรายได้ 2,000 ล้านยูโร และการเข้าซื้อหุ้นบริษัทวีนิไทย ซึ่งจะเข้ามาเสริมผลการดำเนินงานของบริษัท และกำลังการผลิตของบริษัทให้มีการเติบโตระยะยาว”