ยังคงมุมมองบวกต่อตลาดไม่ว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะสูงหรือต่ำ

ยังคงมุมมองบวกต่อตลาดไม่ว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะสูงหรือต่ำ

เงินเฟ้อสหรัฐฯสูงไม่น่ากลัว แต่ถ้าต่ำกว่าคาดตลาดจะมองบวกมาก คืนนี้มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ และตลาดมองว่ามีส่วนในการกำหนดทิศทางนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ได้แก่ เงินเฟ้อ หรือดัชนีผู้บริโภค (US CPI) ซึ่งคาดการณ์ใน Bloomberg Concensus ล่าสุดอยู่ที่ 7.2% (ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ 7.3%) เราประเมินความเป็นไปได้ของตัวเลขดังนี้ 1) เงินเฟ้อสูงกว่าคาด แม้จะเป็นลบ แต่ตลาดจะไม่ตกใจมากนัก เพราะแนวโน้มของดัชนีต่างๆ รวมทั้งคาดการณ์บ่งชี้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ใกล้จะทำจุดสูงสุดในช่วงต้นปี ขณะที่หาก 2) เงินเฟ้อต่ำกว่าคาด หรือต่ำกว่า 7.0% ตลาดจะมองเป็นบวกมาก เนื่องจากยืนยันการทำจุดสูงสุดของเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยและดำเนินนโยบายตึงตัวของเฟดในช่วงต่อไป

 

กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากให้ระวังมานาน ราคาเริ่มปรับลดลงถึงโซนซื้อ นับจากต้นธ.ค.64 เราให้คำแนะนำเชิงกลยุทธให้นักลงทุนระวังหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจาก 1) ซื้อขายด้วย Valuation ที่สูงกว่าในอดีตมาก (PER 45-50x vs 20-25x) 2) ประมาณการกำไรของ Concensus ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ที่คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ในระดับ 2-3 เท่า อาจมองโลกในเชิงบวกมากเกินไป และยังไม่เห็นแผนการลงทุนที่มากพอที่จะสนับสนุนการเติบโตระดับดังกล่าว 3) มีโอกาสที่พรีเมี่ยมการซื้อขายจะปรับลดลง (de-rating) จากทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นทั่วโลก 4) เป็นเป้าหมายของการขายทำกำไรหมุนกลุ่ม (rotation) จากหุ้นชนะหลังโควิด ไปยังหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมาก ที่จะเริ่มทยอยฟื้นตัว 5) คาดการณ์แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/65 ของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์สหรัฐฯ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานกับอิเล็กทรอนิกส์ไทยมีสัญญาณชะลอก่อนฟื้นตัว // หลังราคาหุ้นปรับฐานมาแรง เราประเมินหุ้นเริ่มเข้าสู่โซนซื้อสะสมในทางกลยุทธ์ ทั้ง KCE (60-65) และ HANA (58-65)

 

 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ บวกต่อ CK, STEC, ITD, UNIQ 2) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ตลาดเก็งกำไรการเข้าสู่ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล และผลประกอบการปี 2564 ที่น่าจะเห็นการจ่ายปันผลในระดับที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีความไม่ชัดเจนของภาพรายได้ปี 2565 อีกมาก การเก็งกำไรจึงควรกำหนจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง KGI, ASP, CGH, FSS 3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 4) กลุ่มบันเทิง ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวจากงบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 5) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ SFT, WFX, CV, UBE, VPO, CPI, TOP, RAM, IND, MAKRO, CPALL, 

 

ภาพรวมกลยุทธ์: ลุ้นขึ้นทดสอบ 1,720-1,750 จุด จากประเด็นเงินเฟ้อสหรัฐฯ ใกล้ถึงจุดสูงสุด ซึ่งจะลดแรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยและดำเนินนโยบายของเฟด ทั้งนี้ทิศทางเงินทุนไหลเข้า สอดคล้องกับมุมมองกลยุทธ์ ที่ประเมิน GDP ของอาเซียนที่เติบโตเด่นและต่อเนื่องในปี 65-66 จะสนับสนุน asset allocation มายังภูมิภาคนี้มากขึ้น ยังมองบวกกลุ่มธนาคาร แต่เน้นเลือกหุ้นใหญ่ที่ยัง Laggard//หุ้นแนะนำ: BAM*, CPALL*, MAKRO*, WORK*

แนวรับ: 1,685 / แนวต้าน : 1,720-1,750 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 

 

ประเด็นการลงทุน

MSCI Rebalancing (Feb 22) - การปรับหุ้นเข้า/ออกรอบนี้ (มีผลสิ้นวันทำการ 28 ก.พ.65) ไม่มีหุ้นไทยถูกนำเข้า หรือปรับออกจากการคำนวณ ทั้ง Global Standard/ Global Small cap / Micro cap โดยมีประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากการปรับดัชนีรอบนี้คือ จีน - มีหุ้นเข้าคำนวณใหม่มากสุด ทั้งดัชนี Global Standard (เข้า 10 / ออก 4) และ Global Small cap (เข้า 4 / ออก 0), สิงคโปร์ - Grab Holding ถูกนำเข้าคำนวณใน Global Standard, มาเลเซีย - AirAsia Group ถูกนำออก จากดัชนี Global Small cap

ผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศ – ศูนย์ข้อมูลโควิดรายงานยอดติดเชื้อ 14,822 ราย เกิน 1 หมื่นรายเป็นวันที่ 5 และเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง

CHEWA – ตั้งเป้ารายได้ปี 65 ที่ 3 พันล้านบาท และระดับอัตรากำไรสุทธิที่ 4-10% อัดงบ 1.2 พันล้าน ซื้อที่ดิน 6 แปลง เดินเกมส์รุกตลาดบ้านมือสองกับ “CHEWA RENUE” ปักเป้าโกยรายได้ 400 ล้านบาท ภายใน 3 ปี

THCOM – ตั้งเป้าผลงานปี 65 เป็นบวก เล็งสร้างดาวเทียมดวงใหม่ ต้นทุนต่ำ หวังสร้างโอกาสทางการแข่งขัน

BCH – ระบุโอไมครอนยังน่ากังวล คาดถึงจุดพีคเดือน มี.ค. เป็นอัพไซด์ต่อโรงพยาบาล ผู้ป่วยหันมาชำระเงินเอง หนุนงบไตรมาส 1/65 โตต่อ ขณะที่รายได้ปีนี้โตตามเป้า 104%

 

ประเด็นติดตาม: 10 ก.พ. – US CPI / 11 ก.พ. – IEA Monthly Report

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)