SMEs ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย บทเรียนปี 2564 การปรับตัวในปี 2565 (จบ)

SMEs ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย บทเรียนปี 2564 การปรับตัวในปี 2565 (จบ)

ผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่รอดมาได้ต้องให้ความสำคัญเรื่องการเงินเป็นอันดับแรก ในด้านการลดรายจ่าย การสร้างรายได้ และการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจให้มีความสามารถในการเพิ่มมูลค่าสินค้า ยกระดับให้บริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค

มองในปี 2565 สิ่งที่ “ภาคธุรกิจ” ต้องเผชิญความท้าทายยังคงเป็นการระบาดของโควิด-19 ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวคือการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าและใช้บริการ ประสบการณ์ที่ต้องเผชิญกับโควิด -19 ในปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ในการดำเนินธุรกิจอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทำให้ช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ จึงต้องมีการผสมผสานอย่างสมดุลต้องปรับใช้เทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับเรื่อง Digital Ecosystem เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค ทั้งเรื่อง Inventory Management , E-Commerce ,E-payment ,E-Transportation ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจทั้งสิ้น

Global Megatrend ด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ต้องให้ความสำคัญและนำมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม การเติบโตของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม Economic Platform คือโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ให้ความสำคัญกับเรื่อง Data Analysis ใช้ประโยชน์จากข้อมูลแทนการดำเนินธุรกิจแบบคาดเดาในอดีต

SMEs เป็นหน่วยธุรกิจที่เป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ SME GDP หรือสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของ SMEs ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศมีมูลค่าเกือบ 40% โดย SMEs ในภาคบริการมีส่วนร่วมในการสร้าง GDP มากที่สุด โดยภาคบริการที่เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อน GDP ได้แก่ บริการที่พักแรมและอาหารการศึกษา การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า รองลงมาคือภาคการผลิต และภาคการค้า ตามลำดับ 

ท่านผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่รอดมาได้จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการเงินเป็นอันดับแรก ในด้านของการลดรายจ่าย การสร้างรายได้ และการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจให้มีความสามารถในการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ยกระดับการให้บริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค

SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและพิจารณาแล้วว่าการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิมไม่สามารถอยู่รอดได้ เนื่องจากสินค้าและบริการไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด แสวงหาธุรกิจใหม่ เพิ่มพูนความรู้และทักษะในการบริหารธุรกิจ ทั้งเรื่องการผลิต การตลาด เร่งสร้างความรู้ด้านการเงิน การจัดทำบัญชี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทสินเชื่อที่เหมาะสมกับธุรกิจ การเดินบัญชีกับธนาคารเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการแสดงความเคลื่อนไหวทางการเงินที่ธนาคารใช้ในการประเมินความเชื่อถือของธุรกิจและศักยภาพในการชำระหนี้ได้

การดำเนินธุรกิจในปี 2565 ที่ยังคงมีความผันผวน(Volatility) ความไม่แน่นอน(Uncertainty)ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity) SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่อยู่ 25% ของ SMEs ทั้งหมด อาจจะเข้าถึงความช่วยเหลือของภาครัฐได้และสามารถปรับตัวได้ แต่ SMEs 75% ที่มีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาและวิสาหกิจชุมชนเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดเพราะยังขาดโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐและยังไม่ปรับตัวเพื่อเผชิญกับภาวะวิกกติที่อาจเกิดขึ้นในปี 2565

ผมอ่านแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเป็นแผนระดับ 3 ที่ผ่านมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2560 และแผนการส่งเสริม SME พ.ศ.2564-2565 เป็นแผนที่ดีมากครับ แต่ผ่านมาหลายปี SMEs ยังคงลำบากเหมือนเดิมแสดงว่ามีแผน แต่ไม่สามารถ Implementได้ ต้องหาคนที่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของ

SMEs มาทำแทนพวก NATO โดยด่วนครับ...