กพร. ตอบ 4 ข้อสงสัย กรณี "อัครา รีซอร์สเซส" เตรียมรีสตาร์ทเหมืองทอง

กพร. ตอบ 4 ข้อสงสัย กรณี "อัครา รีซอร์สเซส" เตรียมรีสตาร์ทเหมืองทอง

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) รายงานชี้แจง 4 ประเด็นกรณีภาคประชาชนเรียกร้องให้ตรวจสอบ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หลังบริษัทประกาศเตรียมเปิดกิจการเหมืองทองชาตรีในจังหวัดพิจิตรอีกครั้ง

รายงานข่าวจาก กพร. ระบุว่า ในประเด็นแรก กรณีขาดการมีส่วนร่วมในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและชุมชนในพื้นที่  กพร. กล่าวว่า การต่ออายุประทานบัตรจำนวน 4 แปลงของบริษัท อัครา นั้น เป็นการอนุญาตให้ประกอบกิจการในพื้นที่เดิม โดยไม่ได้มีการเพิ่มหรือขยายพื้นที่ใหม่แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม แม้การต่ออายุประทานบัตรดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.แร่ 2560 ไม่ได้กำหนดให้ต้องจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนในพื้นที่ แต่ กพร. ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชน จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็น ความต้องการ และความเดือดร้อนของประชาชนบริเวณรอบพื้นที่เหมืองแร่ของบริษัท อัครา ในรัศมี 0.5-3 กิโลเมตร ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก ในช่วงปี 2558-2564 รวม 5 ครั้ง

ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่าง เพื่อให้ทุกหลังคาเรือนมีโอกาสได้มีส่วนร่วมเท่าๆ กัน ซึ่งผลปรากฏว่าส่วนใหญ่ต้องการให้เหมืองเปิดดำเนินการ

รวมทั้ง กพร. ยังได้มอบนโยบายให้บริษัท อัครา ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้ทั่วถึงมากขึ้น และกำชับให้บริษัทฯ ส่งเสริม ช่วยเหลือ ดูแล และพัฒนาชุมชน เพื่อให้การประกอบกิจการได้รับการยอมรับ มีความสัมพันธ์ที่ดี และสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

ประเด็นที่ 2 กรณีที่มีการกล่าวถึง การเตรียมงบประมาณเพื่อรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาชุมชนอยู่ในระดับต่ำ เพียง 0.1% ในขณะที่ต่างประเทศ ต้องเตรียมงบฯ ดังกล่าว 0.9%

กพร. ได้ชี้แจงว่า นอกการดำเนินโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่บริษัทดำเนินการด้วยความสมัครใจแล้ว บริษัทยังต้องดำเนินการตามเงื่อนไขของทางราชการ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัท อัครา ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่โครงการมากกว่า 600 ล้านบาท และนำเงินเข้ากองทุนประกันความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ปีละ 10 ล้านบาท

ปัจจุบัน มีเงินคงเหลือสะสม 80 ล้านบาท และตามกรอบนโยบายบริหารจัดการแร่ทองคำ 2560 และ พ.ร.บ.แร่ 2560 กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุน จำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วยกองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง ซึ่งบริษัทต้องนำเงินเข้ากองทุนในอัตรา 21% ของค่าภาคหลวงแร่ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี 

ทั้งนี้ จากสถิติการจัดเก็บค่าภาคหลวงย้อนหลัง 6 ปี (2554-2559) กพร. จัดเก็บค่าภาคหลวงทองคำและเงินในอัตราก้าวหน้าหรือประมาณ 10% ของมูลค่าแร่ จากบริษัท อัครา ได้มากกว่าปีละ 500 ล้านบาท สามารถประมาณการเงินที่บริษัทต้องนำเข้ากองทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ล้านบาท

ดังนั้น เงินที่จะถูกจัดสรรไปเพื่อการพัฒนาชุมชนจึงมีมากกว่า 1.0% ของมูลค่าแร่ อีกทั้ง เงินค่าภาคหลวงที่จัดเก็บได้จะถูกจัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัด 50% เพื่อใช้ในการพัฒนาชุมชนอีกด้วย 

ประเด็นที่ 3 ไม่มีแนวกันชนระหว่างชุมชนกับเขตเหมืองแร่ กพร. เผยว่า ตาม พ.ร.บ.แร่ 2560 กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำแนวพื้นที่กันชนการทำเหมืองเพื่อประโยชน์ในการควบคุมการทำเหมือง ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำแนวพื้นที่กันชนการทำเหมือง พ.ศ. 2562 กำหนดให้พื้นที่บ่อเหมืองต้องมีระยะห่างจากชุมชนไม่น้อยกว่า 300 เมตร 

โรงแต่งแร่หรือโรงประกอบโลหกรรมที่อยู่ในเขตเหมืองแร่ต้องมีระยะห่างจากชุมชนไม่น้อยกว่า 500 เมตร พื้นที่เก็บกักหางแร่หรือกากโลหกรรมที่อยู่ในเขตเหมืองแร่ต้องมีระยะห่างจากชุมชนไม่น้อยกว่า 500 เมตร และพื้นที่เก็บกองมูลดินทรายต้องมีระยะห่างจากชุมชนไม่น้อยกว่า 200 เมตร 

ซึ่งการต่ออายุประทานบัตรและต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมของบริษัท อัครา เข้าข่ายเป็นโครงการที่ต้องจัดทำแนวพื้นที่กันชนการทำเหมืองตามประกาศดังกล่าว ซึ่งได้มีการกำหนดแนวพื้นที่กันชน ที่มีระยะห่างจากชุมชนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยครบถ้วนแล้ว

ประเด็นที่ 4 การอนุญาตให้เหมืองกลับมาเปิดอีกครั้ง เพื่อสมยอมในเรื่องคดีความ กพร. ระบุว่า การพิจารณาอนุญาตให้บริษัท อัคราฯ ต่ออายุประทานบัตรเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการแร่ตามขั้นตอนปกติของกฎหมายที่กำหนดไว้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริษัท คิงส์เกตฯ ถอนฟ้องคดีแต่อย่างใด 

อีกทั้ง การกลับมาประกอบกิจการเหมืองแร่ของบริษัท อัครา จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ ทั้ง พ.ร.บ.แร่ 2560 และกรอบนโยบายบริหารจัดการแร่ทองคำ 2560 ซึ่งมีมาตรการที่เหมาะสมรัดกุมและสามารถปกป้องคุ้มครองผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนที่อาจเกิดจากการทำเหมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดทำข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน (Baseline data) การจัดทำแนวพื้นที่กันชนการทำเหมือง (Buffer zone)

การจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ การวางหลักประกันการฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทำเหมืองและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง การทำประกันภัยความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เป็นต้น

นอกจากนี้ ในการอนุญาตให้ต่ออายุประทานบัตรของบริษัท อัครา คณะกรรมการแร่ยังได้มีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมประกอบการอนุญาต โดยกำหนดให้ กพร. แต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมเฝ้าระวังผลกระทบจากการทำเหมืองตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผู้แทนผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการตรวจสอบการประกอบกิจการภายหลังได้รับอนุญาตให้ต่ออายุประทานบัตร