SET ยกกรอบการเล่นสู่ 1,650-1,680 จากจิตวิทยาการลงทุนที่ปรับดีขึ้น 

SET ยกกรอบการเล่นสู่ 1,650-1,680 จากจิตวิทยาการลงทุนที่ปรับดีขึ้น 

บรรยากาศลงทุนโดยรวมยังปรับดีขึ้นและแนวโน้มรายงานผลประกอบการยังเป็นบวกต่อทิศทางการลงทุน ก.พ. ภาพรวมจิตวิทยาการลงทุนโดยรวมยังคงปรับดีขึ้น หลังตลาดหุ้นและนักลงทุนตอบรับความเสี่ยงการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปพอสมควรแล้ว

โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น 2 ปี ที่มักเป็นตัวสะท้อนภาพการดำเนินนโยบายการเงินระยะสั้น ปรับขึ้นจาก 0.20% สู่ 1.16% ใน 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนตลาดการเงินรับรู้ (priced in) การขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ในระดับ 4 ครั้งไปแล้ว นอกจากนี้การรายงานผลประกอบการไตรมาส 4//64 ซึ่งส่วนใหญ่ฟื้นตัวขึ้นจากช่วงที่เกิดการระบาดของโควิดทั่วโลกในไตรมาส 3/64 เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การรายงานผลประกอบการ ตลอดจนประกาศปันผล เป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางการลงทุนในเดือน ก.พ.นี้
 

ผลการประมูลรถไฟฟ้าสีม่วงส่วนต่อขยายเป็นบวกต่อภาพรวมกลุ่มรับเหมา กลการเปิดซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง 6 สัญญา เป็นดังนี้ 1) กลุ่ม ITD ได้ 3 สัญญา มูลค่ารวม 31,839 ล้านบาท 2) กลุ่ม CKST (CK และ STEC) ได้ 2 สัญญา มูลค่ารวม 35,313 ล้านบาท 3) กลุ่ม UNIQ ได้ 1 สัญญา มูลค่า 14,982 ล้านบาท ทั้งนี้การที่กลุ่มผู้รับเหมาขนาดใหญ่ชนะการประมูลแบบทั่วถึง เรามองและตีความในเชิงบวกว่า 1) การแข่งขันด้านการคิกราคาน่าจะไม่รุนแรง ทำให้อัตรากำไรของการรับงานน่าจะออกมาดีหรืออย่างน้อยไม่ขาดทุน 2) ลดความเสี่ยงของการแข่งขันราคาในโครงการอื่นๆ (เนื่องจากทุกคนมีงานในมือ) 3) คาดว่าจะทำให้เกิดการส่งต่องานรับเหมาช่วง (subcontract) ให้กับบริษัทอื่นๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกกับหุ้นรับเหมาหรือที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งกลุ่ม รวมถึงที่ปรึกษาโครงการ, ฐานราก เป็นต้น โดยหุ้นที่เราแนะนำซื้อทางพื้นฐานคือ CK, STEC ขณะที่ในทางกลยุทธ์เรามองเป็นบรรยากาศบวกต่อเนื่องไปยัง SEAFCO, PYLON, IND, PPS, TEAMG เป็นต้น

 

 

 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ บวกต่อ CK, STEC, ITD, UNIQ 2) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ตลาดเก็งกำไรการเข้าสู่ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล และผลประกอบการปี 2564 ที่น่าจะเห็นการจ่ายปันผลในระดับที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีความไม่ชัดเจนของภาพรายได้ปี 2565 อีกมาก การเก็งกำไรจึงควรกำหนจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง KGI, ASP, CGH, FSS 3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 4) กลุ่มบันเทิง ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวจากงบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 5) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ SFT, WFX, CV, UBE, VPO, CPI, TOP, GJS, RAM, IND, MAKRO

 

ภาพรวมกลยุทธ์: คาดฟื้นตัว โดยยังคงมุมมองความผันผวนจะทยอยลดลง และจิตวิทยาของตลาดทยอยปรับดีขึ้นจากแนวโน้มการรายงานผลประกอบการ แม้อาจเกิดแรงซื้อคืนกลุ่มที่ลงมาเยอะ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ แต่ไมได้เปลี่ยนภาพใหญ่ ที่เป็นการเกิด rotation จากการขายลดกลุ่มผู้ชนะจากโควิด และหมุนไปยังกลุ่มที่ปลอดภัยหรือ Valuation ต่ำ รวมทั้งที่ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้นขาขึ้น //หุ้นแนะนำ: PYLON*, IND*, ONEE*, FORTH*

แนวรับ: 1,650 / แนวต้าน : 1,680 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

 

 

 

ประเด็นการลงทุน

GULF - คาดในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าจะมีความชัดเจนในการประกาศดีลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ (เขื่อน) ใน สปป.ลาว เพิ่มเติมอีกหนึ่งโครงการ โดยโครงการดังกล่าวจะมีขนาดกำลังการผลิตรวม 912 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนราว 8.4 หมื่นล้านบาท

ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจ ม.ค.65 ลดลง จากผลกระทบโควิดโอมิครอน – ธปท.รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เดือน ม.ค.65 อยู่ที่ระดับ 47.2 จาก 49.0 ในเดือนก่อนหน้า จากองค์ประกอบด้านต้นทุน คำสั่งซื้อและปริมาณการผลิต/

การค้า/การบริการ โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของทุกธุรกิจในภาคที่มิใช่การผลิตปรับลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร

ไฟเขียวโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ – ครม.มีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 65 วงเงินกว่า 500 ลบ. คาดสามารถเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65

 

ประเด็นติดตาม: 4 ก.พ. – TH CPI เดือน ม.ค. / 3 ก.พ. - BOE Meeting, ECB Meeting

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)