"สถิตย์"แนะใช้พิกัดศุลกากร "ฮาร์โมไนซ์" หนุนระบบ "ซิงเกิลวินโดว์"

"สถิตย์"แนะใช้พิกัดศุลกากร "ฮาร์โมไนซ์" หนุนระบบ "ซิงเกิลวินโดว์"

"สถิตย์" แนะหน่วยงานเศรษฐกิจในไทยใช้ พิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ตามมาตรฐานาสากล หนุนระบบ ซิงเกิลวินโดว์นำเข้า - ส่งออกสินค้า ในไทย พร้อมผลักดันให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งอาเซียน

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อดีตประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ  กล่าวว่าปัจจุบันองค์การศุลกากรโลกได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized Commodity Description and Coding Systems: HS) ทุกๆ 4-6 ปี เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเฝ้าระวังสินค้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจน การปรับปรุงเพื่อให้มีความเรียบง่ายและชัดเจนมากขึ้น โดยการปรับปรุงในรอบปัจจุบัน (HS 2022) กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป

โดยประเทศไทยในฐานะสมาชิกขององค์การศุลกากรโลกที่ต้องมีการปรับใช้พิกัดศุลกากรในระบบฮาร์โมไนซ์ และอยู่ระหว่างจัดทำร่างพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่7) พ.ศ.2564 ว่าได้มีมีข้อเสนอใน 2 เรื่องที่สำคัญคือ

1.ควรจะกำหนดให้การจำแนกประเภทสินค้าระบบฮาโมไนซ์ใช้เป็นการทั่วไปทุกกระทรวง เป็นระบบฮาร์โมไนซ์เดียวกัน และนำไปสู่การทำ ซิงเกิลวินโดว์ (single window) ซึ่งยากจะเป็นไปได้ตราบใดที่การจำแนกประเภทสินค้าไม่เหมือนกัน

 2.เรื่องอัตราอากรนั้น เพื่อความเป็นกลางทางภาษีนำเข้า หากทั้งอาเซียนใช้อัตราอากรเหมือนกันแล้ว นอกจากอาเซียนจะเป็นเขตการค้าเสรี เป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว ยังเป็นสหภาพศุลกากรอาเซียนอีกด้วย

นายสถิตย์กล่าวต่อว่าตนได้อภิปรายและให้ความเห็นกับสภาฯในเรื่องพิกัดอัตราศุลกากร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือ พิกัดศุลกากร ซึ่งเป็นการจำแนกประเภทสินค้า และส่วนที่ 2 คือ อัตราศุลกากร เป็นการกำหนดอัตราอากรเพื่อการชำระภาษี

 ในส่วนที่เกี่ยวกับพิกัดศุลกากรนั้นเป็นการจำแนกประเภทสินค้าออกมาเป็นประเภทต่าง ๆ โดยใช้ตัวเลขเป็นรหัสสินค้า แต่เดิมการจำแนกประเภทสินค้าในโลกมีหลายประเภท ในทางการค้าจำแนกเป็นตัวเลขแบบหนึ่ง ในทางการขนส่งจำแนกตัวเลขอีกแบบหนึ่ง ในกิจกรรมอื่นจำแนกตัวเลขไปอีกแบบหนึ่ง หรือแม้ในทางการค้ากันเองก็จำแนกประเภทไปหลายแบบ จึงได้มีการคิดกันในระดับโลก โดยองค์กรศุลกากรโลกเป็นหลักว่า การจำแนกประเภทสินค้าของโลกควรจะเป็นระบบเดียวกัน ในที่สุดจึงได้พัฒนาเป็น ระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized System : HS) ชื่อเต็มว่า The Harmonized Commodity Description and Coding System

ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฮาร์โนซ์และได้นำมาประกาศเป็นกฎหมายไทย โดยตราเป็นพระราชกำหนดฉบับที่ 1 เมื่อปี 2530 ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสินค้าของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าใหม่ ๆ อย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จึงทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการจำแนกประเภทสินค้าของระบบฮาร์โมไนซ์ทุกๆ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2530  จนถึงปี 2565การจำแนกระบบบฮาร์โมไนซ์ จำแนกออกเป็นรหัสตัวเลข 6 หลัก แต่ระดับอาเซียนเห็นว่าการจำแนกในระดับ 6หลักไม่ละเอียดพอ อาเซียนจึงจำแนกในระดับ 8 หลัก

ประเทศไทยอยู่ในอาเซียนจึงใช้ระบบฮาร์โมไนซ์ในระดับอาเซียน ที่เรียกว่า อาเซียนฮาร์โมไนซ์ แทริฟโนเมนเคเจอร์ (ASEAN Harmonized Tariff Nomenclature : AHTN) ก่อนที่จะมาเป็นพระราชกำหนดฉบับนี้ ได้ผ่านการพิจารณาขององค์กรศุลกากรโลกมาเป็นเวลาพอสมควร ในระดับอาเซียนก็ได้พิจารณากันเป็นเวลานาน จึงลงตัวออกมาเป็นระบบฮาร์โมไนซ์ในระดับอาเซียน

เพราะฉะนั้น การจำแนกประเภทสินค้า โดยออกมาเป็นพระราชกำหนดฉบับนี้ จึงได้มีการพิจารณากันโดยถ่องแท้แล้ว ทั้งในระดับโลก ระดับอาเซียน และระดับกระทรวงการคลัง ระดับกรมศุลกากรของไทย

“ระบบฮาร์โมไนซ์ นอกจากจะใช้กับกรมศุลกากรแล้ว ยังใช้ในเรื่องอื่น ๆ ด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับภายในประเทศยังใช้กับการห้ามนำเข้าสินค้า และการนำเข้าสินค้าที่ต้องได้รับอนุญาต ด้วยเหตุนี้จึงเสนอแนะกระทรวงการคลังว่า นอกจากจัดทำระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อการจัดเก็บภาษีแล้ว ควรจะประสานงานกับกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ให้นำระบบฮาร์โมไนซ์เดียวกันไปใช้

ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม โดยหากจะออกข้อห้าม ข้อจำกัดใด ๆ ในการนำเข้า ขอให้จำแนกประเภทสินค้าตามหลักฮาร์โมไนซ์ จะทำให้สินค้าที่เข้ามาในประเทศไทยทั้งในระบบเสียภาษี ระบบการอนุญาต และระบบข้อห้ามเป็นระบบเดียวกัน”

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอัตราอากร แม้ว่าประเทศไทยจะใช้ฮาร์โมไนซ์ระดับอาเซียน แต่การกำหนดอัตราอากรนั้น เป็นอธิปไตยทางภาษีที่ประเทศไทยกำหนดได้ด้วยตนเอง ประเทศไทยเข้าร่วมกับอาเซียนมานานตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งเป็นเขตการค้าเสรี  และประชาคมเศรษฐกิจ แต่อัตราอากรที่นำเข้าประเทศไทยในสินค้าประเภทเดียวกันกับที่นำเข้าในประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอื่น ๆ ไม่เหมือนกัน

การเป็นประชาคมเศรษฐกิจที่ดีนั้น นอกจากระบบพิกัดศุลกากร  ซึ่งเป็นการจำแนกประเภทสินค้าเหมือนกันแล้ว ในระดับอาเซียนอัตราอากรควรจะเหมือนกันด้วย เพื่อที่ว่าสินค้าจากประเทศที่สามนอกอาเซียน จะไม่นำเข้าไปในประเทศที่อัตราต่ำและหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อนำเข้ามาในประเทศที่อัตราสูง แต่ถ้ากำหนดให้อัตราอากรในระดับอาเซียนเท่ากันหมดแล้วจะไม่มีปรากฏการณ์ดังกล่าว