ดีบีเอส มั่นใจดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,800 จุด

ดีบีเอส มั่นใจดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,800 จุด

บล.ดีบีเอสฯ ชี้รัฐยังเดินหน้ากระตุ้นการบริโภค-การลงทุนภาครัฐ โอมิครอนไม่รุนแรง ดันเศรษฐกิจฟื้นตัว หนุนตลาดหุ้น มั่นใจดัชนีปีนี้แตะ 1,800 จุด อิงกับ EPS growth 9% ค่า P/E 19.4 เท่า ขณะที่จับตาปัจจัยเสี่ยง เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย-เศรษฐกิจจีนชะลอตัว-การเก็บภาษีขายหุ้น 

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (DBSV) ได้จัดสัมมนา DBSV Quarterly Review Q1/22 ในหัวข้อ “พิชิตตลาดปีเสือดุ ชูกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย-เทศ”  

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นปี 2565 ดัชนีหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเป้าหมายดัชนีหุ้นอยู่ที่ 1,800 จุด เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นปิดสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 1658 จุด อิงกับ EPS growth ที่ 9% และ P/E 19.4 เท่า (เท่ากับระดับปิดสิ้นปี 2564)

ปัจจัยบวก

ที่ช่วยสนับสนุนภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ 3.4% โดยได้รับอานิสงส์จากการบริโภคและการลงทุนของภาครัฐที่ขยายตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ  เช่น คนละครึ่ง เฟส 4 (เริ่ม 21 ก.พ) มาตรการด้านการท่องเที่ยว มาตรการสนับสนุนธุรกิจ SME  

รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่คาดการณ์ว่า จะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไป จนถึงต้นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้   ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นมีความน่าสนใจ  หุ้นปันผลจ่ายผลตอบแทนสูงชนะเงินเฟ้อและดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยุโรปเริ่มพิจารณาให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น และผู้คนสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้

ปัจจัยลบ

ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนก็คือ  ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอตัวลงหลังใช้มาตรการคุมเข้มโควิดโอมิครอน รวมทั้งตลาดยังมีความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจจะมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ หลังจากที่ภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ส่วนปัจจัยลบในประเทศก็คือ กรณีที่นักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศได้มีการยกเลิก และเลื่อนการจองห้องพักแล้ว 25-50%  หลังจากที่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 สายพันธ์โอมิครอน 


ปัจจัยที่ต้องติดตาม

และอาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ก็คือ การประชุมเฟดในวันที่ 25-26 ม.ค.นี้  ซึ่งตลาดคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะให้สัญญาณเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น  มาตรการสนับสนุนยานยนต์ EV (ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8%  เหลือ 2% และการให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อรถ)  รวมทั้งต้องติดตามผลการทำประชาพิจารณ์ (Hearing) ครั้งที่ 2 เรื่องการลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ และรายละเอียดการเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% ของมูลค่าขาย ที่กรมสรรพากรกำลังเร่งผลักดัน

กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้

ฝ่ายวิเคราะห์แนะให้เลือกลงทุนและทยอยสะสมหุ้นธีมเด่น ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจประกัน  รวมทั้งหุ้นที่อยู่ใน Mega Trend ที่เกี่ยวข้องกับ รถยนต์ EV  แบตเตอรี่ โรงไฟฟ้า โรงพยาบาล  ดิจิตอล & ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เป็นต้น  รวมทั้งหุ้นที่อยู่ในธีม ESG  หรือหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม  สังคม และบรรษัทภิบาล (อยู่ใน SETTHSI-ดัชนีหุ้นยั่งยืน)


นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ที่ไม่รุนแรงอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้  ทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้  และไม่น่าจะมีการปิดเมืองเหมือนปีที่ผ่านมา โดยดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยกว่าคาดไว้ผู้เสียชีวิตน้อยลงอยู่ระดับหลักสิบ สถานการณ์โอมิครอนในประเทศถือว่าเป็นไปด้วยดีจากการระดมฉีดวัคซีน  ที่มียอดสะสมมากกว่า 100 ล้านโดส และยังมีการเร่งฉีดเข็มบูสเตอร์ เข็ม 3-4 รวมถึงมีความพร้อมในการรับมือมากขึ้น 


สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย มีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.คาดว่าปีนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศประมาณ 5-6 ล้านคน และปี 2566  เพิ่มเป็น 20 ล้านคน โดยตัวแทนหุ้นท่องเที่ยวฟื้นตัว แนะนำซื้อ  AOT ให้ราคาพื้นฐาน 75 บาท (DCF) จากแนวโน้มธุรกิจคาดว่าจะดีขึ้น ตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2565 จากการเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวจากทั้งภายในและต่างประเทศฟื้นตัวดีขึ้นแนวโน้มระยะยาว ส่วนความเสี่ยงอาจมาจาก นักท่องเที่ยวจีนพิ่มน้อยการเรียกเก็บผลตอบแทน King Power ลดลง

ส่วน CPN เป็นหุ้นรายแรกๆ ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองแนะนำซื้อ กำหนดราคาพื้นฐาน 66 บาท (DCF) คาดการณ์ว่ารายได้ค่าเช่าและบริการในปี 2565จะดีขึ้นจากส่วนลดค่าเช่าที่ต่ำลง หลังจากปี 64 ที่คาดว่ามีรายได้เป็นเพียง 65% ของปี 62 ก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 66 คาดว่ากลับสู่ระดับปกติได้ หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย ประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 21.6% หลังจากหดตัว 19.7% ในปี 2564 ถือว่ากลับมาฟื้นตัวได้ดีมาก 


หุ้น AMATA จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว การเปิดประเทศทำให้ยอดขายที่ดินในนิคมฯกระเตื้องขึ้น รายได้สาธารณูปโภคและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนสูงขึ้นได้อานิสงส์จากการลงทุนในพื้นที่ EEC ขณะที่ภาครัฐให้การส่งเสริมลงทุนพัฒนาที่ดินในประเทศลาว เป็นสมาร์ท แอนด์ อีโคซิตี้ ติดกับสิบสองปันนา คาดว่าจะเป็นผลดีในระยะยาว เพราะมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีนเชื่อมต่อ ราคาพื้นฐาน 23 บาท


PTTEP แนะนำซื้อราคาพื้นฐาน 160 บาท (DCF) คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้น 15% สะท้อนปรับสมมติฐานราคาน้ำมัน BRENT ขึ้นเป็น 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิม 70 ดอลลาร์/บาร์เรลปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน คือ อุปทานที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าอุปสงค์ กลุ่มโอเปกพลัสคงนโยบายเพิ่มการผลิต 4 แสนบาร์เรล/วันสำหรับเดือน ก.พ. 2565 


หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์ มีความสำคัญต่ออุปกรณ์ไฮเทคทั้งรถยนต์ EV และโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ๆ ถือเป็นโอกาสธุรกิจที่ดีกับทั้ง HANA และ KCE ในการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ และเงินบาทอ่อน 


จากภาวะเงินเฟ้อสูงกลุ่มอุตสาหกรรม PFPO & REIT  ที่มีเงินปันผลสูงเป็นเกราะป้องกันในภาวะเกิดเงินเฟ้อ โดย หุ้นกลุ่ม WHART ฟื้นตัวได้ดี มีคลังสินค้าเพื่อการขนส่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี แนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของ e-commerce  ปันผลสูง ยิลด์ราว 6% ให้ราคาพื้นฐาน 14.60 บาท ส่วน DIF ราคาพื้นฐาน 15.90 บาทมีความมั่นคงด้านรายได้ และกำไรจากการลงทุนได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับสูง ส่วนการเติบโตมาจากTRUE ขายสินทรัพย์เข้ามายังกองทรัสต์ฯ เพิ่มเติม ปันผลสูง ยิลด์ราว 7.2% 


กลุ่มอสังหาริมทรัพย์  ที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ทำให้มีภาระการผ่อนดาวน์น้อยลง เหมือนเพิ่มกำลังซื้อ และขยายเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองไปอีก 1 ปี หุ้นแนะนำ คือ AP, LH, ORI, SPALI ปันผลสูงคือ LALIN, SC และ SENA 


อุตสาหกรรมพาณิชย์ การที่รัฐกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมีโครงการช็อปดีมืคืน แม้มีปัญหาอัตราเงินเฟ้อ, SSSG ฟื้นเพราะเปิดเมือง เช่น กลุ่มจำหน่ายสินค้ามือถือ และไอที ได้ประโยชน์ WFH เช่น COM7 และกลุ่มจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่ง เช่น HMPRO และ GLOBAL


ด้านนายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า  ตลาดหุ้นโลกยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดี แม้ว่านโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐจะเข้มงวดขึ้น โดยคาดว่ามาตรการ คิวอี จะจบในเดือน มี.ค. นี้ และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 6 ครั้งในช่วงปี 2565-2566 ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐใกล้จุดสูงสุดแล้ว โดยเงินเฟ้อสหรัฐได้ปรับขึ้นสู่จุดที่สูงสุดในรอบหลายสิบปีเพราะปัญหาซับพลายปรับตัวไม่ทันกับดีมานด์ที่ฟื้นตัวแรง 


สำหรับมุมมองการลงทุนนั้น ดีบีเอส มองว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นยังดีกว่าตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะตลาดที่พัฒนาแล้ว ดีกว่าตลาดเกิดใหม่ โดยหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นเทคโนโลยี เฮลท์แคร์ และการเงิน โดยธีมเด่น “Metaverse” ผสมระหว่างชีวิตจริงและดิจิทัลหนุนบริษัท I. D. E. A. (Innovators, Disruptors, Enables, Adapters) และเป็นปัจจัยบวกกับกลุ่ม Big Tech, game engines, semiconductors 


ขณะที่พอร์ตการลงทุนแนะนำให้เพิ่ม น้ำหนักการลงทุนในช่วง 3 เดือนให้  ในหุ้นสหรัฐ หุ้นยุโรป ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ และทองคำ (ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ) ส่วนน้ำหนักลงทุนในช่วง 12 เดือน ให้เพิ่มการลงทุนในหุ้นสหรัฐ หุ้นเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) และทองคำ 


สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2565 ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินเดียจะ เติบโตชะลอตัวลง ขณะที่ ประเทศญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย อินโนนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะเร่งตัวสูงขึ้น ส่วนความเสี่ยงหลัก จะมาจากความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เทคโนโลยี สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม


ด้านนายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสแกว่งรอขึ้น แต่ต้องไม่หลุด 1770/1750/1680 ส่วนค่าเงินบาทมีแนวรับที่ 32.80-32.50 บาท ซึ่งหากไม่หลุดแนวรับดังกล่าว ยังอ่อนค่าในระยะกลาง