สถาบันยานยนต์เตรียมแผนหนุนรถ EV ขับเคลื่อนอุตฯ ยานยนต์ไทย

สถาบันยานยนต์เตรียมแผนหนุนรถ EV ขับเคลื่อนอุตฯ ยานยนต์ไทย

สยย. เผยแผนเตรียมความพร้อมการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมยานยนต์ รองรับการเติบโตใช้รถอีวีแบบก้าวกระโดด

นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า แนวโน้มของความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากหลายปัจจัย อาทิ การมุ่งสู่เป้าหมายการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งการเกิดเทคโนโลยีดิสรัปชันในอุตสาหกรรมยานยนต์ เกิดการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีระบบการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นการขับเคลื่อนโดยการใช้ไฟฟ้า

ดังนั้น สถาบันยานยนต์ (สยย.) ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ดังนี้

1. ขยายขอบข่ายการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบแบตเตอรี่ขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า EV Hybrid และ Plug-in Hybrid ตามมาตรฐาน มอก.3026-2563 หรือ UN R100 และระบบแบตเตอรี่ขับเคลื่อน รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ตามมาตรฐาน มอก.2952-2561 หรือ UN R136 รวมถึงการตรวจสอบเซลล์ และโมดูลแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่แพคขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าให้มีความปอดภัย

นอกจากระบบแบตเตอรี่ไฟฟ้าแล้ว ยังได้ขยายการให้บริการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ด้วย ทั้งที่ผลิตขึ้นในประเทศ และนำเข้ามาขายในประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เช่น การทดสอบตามมาตรฐานอาเซียน และการทดสอบตามมาตรฐานยุโรป

 

สำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ที่ติดตั้งอยู่ในยานยนต์สันดาปภายในและยานยนต์ไฟฟ้า เช่น มาตรวัดความเร็ว กระจกรถยนต์ แตร เสียงขณะวิ่ง เข็มขัดนิรภัย จุดยึดเข็มขัดนิรภัย จุดยึดที่นั่งและพนักพิงศีรษะ

2. การพัฒนากิจกรรมการตรวจประเมินเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ดังนี้

กิจกรรมการตรวจรับรองวัตถุดิบ Free Zone ตามประกาศกรมศุลกากรเลขที่ 144/2561 โดยสถาบันยานยนต์ได้จัดทำหลักเกณฑ์ในการรับรองวัตถุดิบยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 9 รายการประกอบด้วย แบตเตอรี่ 3 รายการ (แบตเตอรี่ที่มีกระบวนการผลิตเซลล์ขั้นปลาย  แบตเตอรี่ที่มีกระบวนการผลิตโมดูลของเซลล์แบตเตอรี่ แบตเตอรี่ที่มีกระบวนการผลิตแพ็กกิ้งแบตเตอรี่)  และ Traction Motor, Battery Management System (BMS) , Inverter, Converter, Driving Control Unit (DCU), Reduction Gear

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะแบตเตอรี่ให้มีจำนวนสูงขึ้น โดยมีผู้ประกอบการบางรายเริ่มเข้ามาลงทุนผลิตวัตถุดิบ กล่องควบคุมการทำงานแบตเตอรี่ที่ใช้ในการขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (BMS) รวมถึงมีกระบวนการพัฒนาซอฟท์แวร์ในประเทศ ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

กิจกรรมการตรวจประเมินตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่ง สยย. ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการทำมาตรฐานแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันเป็นมาตรฐานทั่วไป ยานยนต์ประเภท L : คุณลักษณะเฉพาะสำหรับระบบส่งกำลังด้วยไฟฟ้า (มอก.2952-2561) อ้างอิงจากมาตรฐาน UN R136 และ
ยานยนต์ประเภท M และ N : คุณลักษณะเฉพาะสำหรับระบบส่งกำลังด้วยไฟฟ้า (มอก.3026-2563) อ้างอิงจากมาตรฐาน UN R100

3.การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้จัดทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และได้ตั้งเป้าหมายปี พ.ศ. 2565 ในการฝึกอบรมบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 
เป็นจำนวนกว่า 700 ราย เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า 

นอกจากนี้แล้วสถาบันยานยนต์ยังมีกิจกรรมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเรื่อง การเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่อุปทานไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ประกอบด้วย การพัฒนาบุคลากรเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศ พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะนโยบายด้านยานยนต์สมัยใหม่ ในประเด็น “Carbon neutral” ประกอบด้วย การศึกษาความเป็นไปได้ของการนำมาตรฐาน CAFÉ มาใช้ในประเทศไทย ศึกษาห่วงโซ่มูลค่า ELV เพื่อการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย รวมถึงโอกาสและความท้าทายของการดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในปี พ.ศ. 2565 นี้อีกด้วย

“เชื่อว่าความพร้อมที่สถาบันยานยนต์ กำลังสร้างขึ้นเหล่านี้ จะรับรองอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมแนวโน้มของความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากหลายปัจจัยได้อย่างแน่นอน” นายพิสิฐ กล่าว