“อาคม” ชี้เงินเฟ้อปีนี้อาจพุ่งถึงเกิน 3%

“อาคม” ชี้เงินเฟ้อปีนี้อาจพุ่งถึงเกิน 3%

“อาคม” ระบุ อัตราเงินเฟ้อเป็นหนึ่งในประเด็นท้าทายการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเป็นผลจากราคาอาหาร และพลังงานที่ปรับเพิ่ม โดยเงินเฟ้ออาจแตะหรือพุ่งเกิน 3%ในบางช่วง แต่คลัง และธปท.จะพยายามดูแลให้อยู่ในกรอบ เชื่อจีดีพีปีนี้จะโตได้ 3.5-4.5%

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดการสัมมนา "ศักราชใหม่...ความหวัง (หรือแค่ฝัน) ประเทศไทย 2022" และปาฐกถาพิเศษ "แรงขับเคลื่อนประเทศไทยในศักราชใหม่ 2022" จัดโดยบางกอกทูเดย์ โดยยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะสามารถขยายตัวได้ระหว่าง 3.5-4.5% ภายใต้แรงขับเคลื่อนหลัก 1.การส่งออก 2.การท่องเที่ยว 3.การใช้จ่ายภาครัฐ และการบริโภคภายในประเทศ

ทั้งนี้ ในส่วนของการส่งออกนั้น เชื่อว่า ไทยจะสามารถส่งออกได้ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แม้ว่า ทั่วโลกจะประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ ส่วนการท่องเที่ยวนั้น จากรายงานของกระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา ระบุว่า หลังไทยเปิดประเทศมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว 3-4 แสนราย แม้จะยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ แต่คาดว่า ในปีนี้ นักท่องเที่ยวจะทยอยเข้ามา โดยเฉพาะขณะนี้ ศบค.จะเริ่มกลับมาใช้วิธีการตรวจโควิดแบบTest&Go แล้ว

ด้านการใช้จ่ายภาครัฐนั้น ก็จะมีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในหลายส่วนทั้งจากงบลงทุนของรัฐบาลประมาณ 6 แสนล้านบาท งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 3 แสนล้านบาท งบลงทุนในอีอีซีอีกราว 1 ล้านล้านบาท ฉะนั้น ในแง่การใช้จ่ายภาครัฐก็ยังเดินหน้าต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ภาครัฐเองก็ยังมีช่องว่างที่จะใช้มาตรการทางการคลังเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจได้ โดยรัฐบาลได้ขยายกรอบการก่อหนี้จาก 60% เป็น 70% ต่อจีดีพี ขณะนี้ ยังเหลือเพดานการก่อหนี้ได้อีกถึง 10% แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะกู้ครบ 70%

นอกจากนี้ ในด้านการบริโภคนั้น รัฐบาลจะเดินหน้ามาตรการที่จะเข้าไปกระตุ้นการบริโภค โดยเน้นไปยังกลุ่มฐานราก ซึ่งขณะนี้ เรามีแผนที่จะเร่งออกโครงการคนละครึ่งเฟส 4 อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนด้านการบริโภคนี้ อาจจะทำได้ไม่เต็มที่ เพราะรายได้ของประชาชนยังไม่เต็มร้อย

สำหรับสิ่งที่ท้าทายการบริหารเศรษฐกิจในปี 2565 คือ 1.สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แม้จะมีการแพร่ระบาดได้รวดเร็ว แต่เชื่อว่า จะสามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยการฉีดวัคซีนก็ยังคงเดินหน้าต่อ ซึ่งเรื่องนี้ หลายฝ่ายคาดว่า จะมีผลกระทบแต่ไม่รู้จะยาวนานแค่ไหน

2.การขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายมาตั้งแต่ปี 2563 และ 2564  ขณะนี้ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมก็ได้เปิดรับคำขอแรงงานนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า ในระยะครึ่งปีแรกเราอาจจะพบสถานการณ์ขาดแคลนแรงงานอยู่

3.สถานการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งเกิดจากราคาพลังงาน และอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเรื่องราคาสินค้านั้น รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ เข้าไปกำกับดูแล ส่วนราคาพลังงานนั้น มอบหมายให้กระทรวงพลังงานไปดูแลไม่ให้ราคาน้ำมันดีเซลเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยกองทุนน้ำมันจะเข้ามาเป็นกลไกช่วยเรื่องของราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จะดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบระหว่าง 1-3% แต่บางช่วงอาจจะไปเกือบถึง 3% หรือเกินไปบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาอาหารและพลังงาน แต่เราจะพยายามดูแลให้อยู่ภายใต้กรอบดังกล่าว