‘ซีวิลเอนจีเนียริง’รุกลงทุน ซื้อเครื่องจักรรองรับงานพุ่ง

‘ซีวิลเอนจีเนียริง’รุกลงทุน ซื้อเครื่องจักรรองรับงานพุ่ง

การยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐและขึ้นทะเบียนเป็น“ผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นสูง”รวมทั้งความโดดเด่นด้านบริหารต้นทุนโครงการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพถือเป็น “จุดเด่น” ของ บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริงจำกัด (มหาชน) หรือ CIVILไอพีโอน้องใหม่!!

กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ในราคา4.60 บาทต่อหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท คาดว่าจะนำหุ้น CIVIL เข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ในวันที่ 27 ม.ค.2565

โดยสัดส่วนเสนอขาย IPO ตามกลุ่มนักลงทุนที่จะมีการจัดสรรนั้น แบ่งเป็น กลุ่มนักลงทุนสถาบันและนิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมการสำรวจความต้องการซื้อสัดส่วน 60% กลุ่มบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สัดส่วน 19.07% ผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย สัดส่วน 15% กรรมการ และ/หรือ ผู้บริหาร ของบริษัท สัดส่วน 4.35% และพนักงานของบริษัท และบริษัทย่อย สัดส่วน 1.58

สำหรับวัตถุประสงค์ของการนำเงินที่ได้จาก IPO ในครั้งไปใช้ ประกอบด้วย เงินทุนสำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับใช้ในโครงการก่อสร้าง 442-530 ล้านบาท นำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 177-265 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 88.4 - 264.4 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับระยะเวลาการใช้เงินจาก IPO ในช่วงปี 2565-2566

“ปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริงจำกัด (มหาชน) หรือ CIVILเล่าให้ฟังว่า จากการพัฒนาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศมากกว่า 1,000 โครงการ ส่งผลให้ในปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าสัญญางานโครงการก่อสร้างที่รอส่งมอบ (Backlog) ราว 16,873 ล้านบาท

โดยจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปี แบ่งเป็นงานถนนจำนวน 6,165 ล้านบาท งานทางรถไฟจำนวน8,387 ล้านบาท งานท่าอากาศยาน (สนามบิน) จำนวน 444 ล้านบาท งานเขื่อนและอ่างเก็บน้ำจำนวน 1,140 ล้านบาท และงานอื่น ๆ อีกราว 739 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่มา“เสริมขีดความสามารถการแข่งขัน”ในทุกด้าน เช่น นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยวางแผน ติดตามและวิเคราะห์ต้นทุนก่อสร้างตั้งแต่ต้นจนจบโครงการ พร้อมใช้เทคโนโลยีอุปกรณ์เครื่องจักรทันสมัยที่เหมาะสม เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโครงการ ทำให้เกิด Economy of Speed ลดระยะเวลาและต้นทุนดำเนินโครงการ พร้อมใช้เทคโนโลยีและวิธีการก่อสร้างสมัยใหม่

ด้วยเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยช่วยบริหารโครงการให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสเข้าบริหารงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จากภาครัฐเพิ่มเติม ทั้งรูปแบบเข้าประมูลโครงการและจับมือพันธมิตรธุรกิจเพื่อร่วมบริหารโครงการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ที่ช่วยสร้างความมั่นคงด้านกระแสเงินสดให้แก่การดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน

รวมไปถึงบริษัทยังต่อยอดธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้างไปสู่ลูกค้าภาคเอกชนมากขึ้น คาดว่าสัดส่วนรายได้จากงานภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นไปแตะ 20% ภายใน 3-4ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5% ด้วยการสร้างโอกาสรับงานบริหารโครงการที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนการบริหารโครงการก่อสร้างให้สูงขึ้น และพร้อมขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตอบสนองต่อความต้องการอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงขยายตัวและสร้างสมดุลของรายได้ให้แก่การดำเนินธุรกิจ

สำหรับ“ธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง” บริษัทมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนวัสดุส่วนก่อสร้าง 11แห่ง ผลิตวัสดุทั้งหมด 5 ประเภท ประกอบด้วย โรงงานชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป, คอนกรีตผสมเสร็จ, แอสฟัลท์ติกคอนกรีต, คอนกรีตอัดแรง และราวเหล็กลูกฟูกกันรถและท่อระบายน้ำ ซึ่งทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเชิงบริหารต้นทุนโครงการก่อสร้างที่ดี รวมไปถึงสร้างโอกาสเติบโตที่ดีจากการจำหน่ายชิ้นส่วนวัสดุก่อสร้างให้แก่คู่ค้าของบริษัท

และอีกหนึ่ง“ธุรกิจให้บริการอสังหาริมทรัพย์และให้เช่าเครื่องมือเครื่องจักร” ที่ให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและเครื่องมือเครื่องจักร ก็ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อีกช่องทางหนึ่ง และช่วยให้พันธมิตรทางธุรกิจร่วมเติบโตไปด้วยกัน สอดคล้องกระแส Sharing Economy ของโลก

สำหรับผลการดำเนินงาน2ปีย้อนหลัง(2562-2563) มีกำไรสุทธิ 140.65 ล้านบาท และ 86.89 ล้านบาท  โดยมีรายได้รวม 3,210 ล้านบาท และ 4,130 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้รวม 3,736 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,999 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ความสามารถในการทำ“กำไรขั้นต้น”และ“อัตรากำไรสุทธิ” ในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัทสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นปี 62-63 อยู่ที่ 14.60% และ 9.28% ส่วน 9 เดือนแรกปี 64 อยู่ที่ 11.08% ส่วนอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4.38%และ 2.10% งวด 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ 4.56% ตามลำดับ

ท้ายสุด “ปิยะดิษฐ์” บอกไว้ว่า บริษัทใช้ข้อเปรียบเชิงการแข่งขันในทุกด้านเพื่อเพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำในการดำเนินโครงการ ทำให้บริหารจัดการต้นทุนที่ดี และสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง