SVI เติบโตจาก Acquisition (17 มกราคม 2565)

SVI เติบโตจาก Acquisition (17 มกราคม 2565)

เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SVI ใน 4Q64F จะอยู่ที่ 294 ล้านบาท (+172% YoY, -42% QoQ) ซึ่งจะทำให้กำไรจากธุรกิจหลักในปี 2564F อยู่ที่ 1 พันล้านบาท (+106% YoY) โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะเป็นเพราะยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในขาขึ้น

ในขณะที่กำไรที่ลดลง QoQ จะเป็นเพราะอัตรากำไรขั้นต้นสูงเป็นพิเศษใน 3Q64 เราคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 138 ล้านดอลลาร์ฯ (+15% YoY, +2%QoQ) จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และรับรู้รายได้หนึ่งเดือนจาก Tohoku Solution Co.,Ltd. ซึ่งจะทำให้ยอดขายในปี 2564F อยู่ที่ 510 ล้านดอลลาร์ฯ (+4% YoY) ต่ำกว่าเป้าของบริษัทที่ 540 ล้านดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ เนื่องจาก i) เงินบาทอ่อนค่าลง (อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ 33.3 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 4Q64 จาก 32.7 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 3Q64 และ 30.9 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 4Q63) ii) การประหยัดต่อขนาดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และ iii) การปรับราคาขายกับลูกค้าแบบมีผลย้อนหลังเพื่อสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้น เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 4Q64 จะอยู่ที่ 11.8% (+3.7ppts YoY, -3.4ppts QoQ) ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564F อยู่ที่ 11.0% (+2.6ppts YoY)

 

แนวโน้มปี 2565: ขยายพอร์ตในกลุ่มยานยนต์

SVI ทำธุรกรรมซื้อ Tohoku Solution Co., Ltd. เสร็จเรียบร้อย ทำให้รับรู้รายได้จาก Tohoku เข้ามาในงบรวมปี 2564 ของบริษัทเป็นเวลาหนึ่งเดือน เราคิดว่าการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวจะช่วยให้ SVI ขยายพอร์ตในกลุ่มยานยนต์ (Tohoku Solutions ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วน precision metal plastic และ mechanical assembly ในอุตสาหกรรมยานยนต์) โดย SVI ตั้งเป้าจะรับรู้รายได้จาก Tohoku ประมาณ 50-60 ล้านดอลลาร์ฯ (~10% ของสมมติฐานยอดขายปี 2565 ของเราที่ 597 ล้านดอลลาร์ฯ) ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้นจาก 11% ของยอดขายใน 2Q64 เป็น 18% ในปี 2565F และทำให้ SVI ได้อานิสงส์จากกระแส megatrend ของยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) ดังนั้น เราจึงทบทวนสมมติฐานของเราใหม่และปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565-2566 ขึ้นอีก 58% โดยเราคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรจากธุรกิจหลักของ SVI จะสูงสุดที่ 106% YoY ในปี 2564F ก่อนที่จะกลับลงมาอยู่ระดับปกติที่ ~15% ในปี 2565F-2566F

 

 

 

 

Valuation & action

เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 จากเดิม 6.30 บาท เป็น 8.50 บาท อิงจาก PER ที่ 15.0x (คิดเป็น PEG ที่ 1.1x จากอัตราการเติบโตของ EPS ปี 2565) ทั้งนี้ เนื่องจากราคาปิดล่าสุดเหลือ upside อีก 8% เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ” และมองเห็นโอกาสที่จะเข้าเก็งกำไรได้

 

Risks

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ฯ) และความล่าช้าในกระบวนการทดสอบผลิตภัณฑ์