“รายใหญ่” ลุ้นดัชนีหุ้นไทยปี 65 มีโอกาสทะลุ 1,800 จุด !

“รายใหญ่” ลุ้นดัชนีหุ้นไทยปี 65 มีโอกาสทะลุ 1,800 จุด !

“4รายใหญ่“ คาดหุ้นไทยปี 65 ปรับตัวดีขึ้น ”นิเวศน์“ เชื่อตลาดเข้าสู่ขาขึ้น ตามจีดีพี ”เสี่ยป๋อง“ คาดทะลุ 1,800 จุด ด้าน "เสี่ยยักษ์“ ชี้โอมิครอน กดดันลงทุน ”อนุรักษ์” มอง 3 ปัจจัยเสี่ยงกระทบ “เก็บภาษีขายหุ้น- เงินแห่ไหลลงทุนต่างประเทศ-คริปโท”

"นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนรายใหญ่ แบบเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ วีไอ เปิดเผยให้ “หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า มีมุมมองตลาดหุ้นไทยปี 2565 น่าจะ “เป็นปีแห่งการฟื้นตัว!” แล้ว สะท้อนผ่านปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยบ้างแล้ว ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นนั้นจะมองภาพอนาคตก่อน และการเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่ตลาดหุ้นจะชื่นชอบ ดังนั้น ในปี 2565 มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะ “ขาขึ้น” ชัดเจน แต่หลังจากตลาดขึ้นมามากแล้วตอนนั้นก็ต้องมาดูอีกครั้งว่าจะมีปัจจัยอะไรมากระตุ้นต่อหรือเปล่า  

สำหรับ ปี 2564 มุมมองส่วนตัวให้ “นิยามตลาดหุ้นไทย” ว่า เป็นปีที่ตกถึงพื้น ต่อไปไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว  บ่งชี้ผ่านสถานการณ์ในช่วงกลางปีที่ผ่านมาที่ค่อนข้าง “แย่มาก” เนื่องจากภาครัฐจำเป็นต้องงัดมาตรการ “ปิดเมือง” (ล็อกดาวน์) กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อเป็นการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังเมืองไทยพบตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศแตะระดับ “หมื่นรายต่อวัน” ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ออกมา “ติดลบ” ถ้วนหน้า 

ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้องเลือกซื้อรายตัว เพราะแต่ละเซกเตอร์ปรับขึ้นเต็มมูลค่าแล้ว อีกทั้งยังมีแต่ธุรกิจที่อยู่ในเศรษฐกิจแบบเก่า (Old Economy) โดยต้องเลือกหุ้นที่ธุรกิจมีความแน่นอน ราคายังถูกกว่าตลาด และมีเงินปันผลที่ดี ที่สำคัญคือ ธุรกิจต้องไม่สามารถถูกทำลายด้วยเทคโนโลยี 

ขณะที่ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีปรับตัวขึ้นได้แต่ไม่โดดเด่น เพราะในช่วงโควิด-19 ปรับตัวลงมาหลายเปอร์เซ็นต์ แต่บวกกลับมาประมาณ 13% เท่านั้น ขณะที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทั้งตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยก็ไม่ได้ขยับไปไหนไกล ส่วนในอีก 5-10 ปีข้างหน้ายิ่งลำบาก เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและเศรษฐกิจเติบโตช้า 

นายวัชระ แก้วสว่าง” หรือ “เสี่ยป๋อง” นักลงทุนรายใหญ่ที่มีสไตล์ลงทุนแบบ Technical มีมุมมองตลาดหุ้นไทยปี 2565 ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวจากปี 2564 ตามกราฟสัญญาณเทคนิค โดยคาดว่าปี 2565 มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยทะลุ 1,800 จุด เนื่องจากคาดว่าจะมีนโยบายใหม่ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอีก ประกอบกับสัญญาณกราฟเทคนิคไม่ได้เลวร้าย​

อย่างไรก็ตาม มองว่าหากภายใน 2 สัปดาห์ สัญญาณกราฟเทคนิคยังไม่หลุด 1,625 จุด มองว่าระยะสั้นดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่หากกราฟเทคนิคหลุดตอนนั้นนักลงทุนควรลดพอร์ตลงทุนลงบ้าง แต่หากภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ดัชนีหลุด 1,577 จุด ตอนนั้นนักลงทุนควรปรับลดพอร์ตลงทุนลง 50% เพราะมีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจะพักฐาน แต่หากดัชนี หลุด 1,500 จุด ตลาดหุ้นจะเป็น “ขาลง”​ ดังนั้น หากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นนักลงทุนอาจจะต้องล้างพอร์ตลงทุนก่อนได้

“อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสัญญาณกราฟเทคนิคยังไม่แย่อย่างที่ทุกคนกลัว แต่หากดัชนีฯ หลุดจุดสำคัญแต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวจะแย่หมด ดังนั้น นักลงทุนควรเลือกดูหุ้นเป็นรายตัวประกอบไปด้วย อย่าดูแค่ดัชนีตลาดอย่างเดียว เพราะหุ้นบางตัวแม้ดัชนีตลาดฯ ร่วง แต่ราคาหุ้นรายตัวไม่ร่วง”

นายวิชัย วชิรพงศ์” หรือ “เสี่ยยักษ์” นักลงทุนรายใหญ่ มีมุมมองตลาดหุ้นไทยปี 2565 ว่า ภาพรวมตลาดยังถูกความเสี่ยงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกดดัน ดังนั้น มองว่า “การลงทุนไม่ง่าย” ในปีนี้ โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีทิศทางไซด์เวย์ออกข้าง แต่สำหรับภาพการลงทุนนั้น นักลงทุนยังต้องนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดต่อเนื่องจากเป็นแหล่งสร้างผลตอบแทนที่ดีหากลงทุนถูกตัว

ฉะนั้น ภาพการ “เก็งกำไรหุ้น” ก็ยังจะเกิดขึ้นเหมือนในปี 2564 สะท้อนผ่านดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสร้างผลตอบแทนระดับ 13% จากเม็ดเงินนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนจากปี 2564 หุ้นในตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) สร้างผลตอบแทน (รีเทิร์น) มากกว่าหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ (Big Cap) ​

สำหรับ “ปัจจัยลบ” ที่ปี 2565 ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ที่คาดว่าจะสูงถึงระดับ 5-7 แสนล้านบาท หลังมาตรการช่วยเหลือในกลุ่มสินเชื่อที่ให้กับ SMEs สิ้นสุดลง และคาดว่าน่าจะไม่มีการต่ออายุมาตรการดังกล่าว ซึ่งต้องดูว่ารัฐบาลจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ยังไง เนื่องจากปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจไทยการฟื้นตัวล่าช้า แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจธนาคารของไทยยังมีฐานะการเงินแข็งแรง 

“ผมมองปัจจุบันหุ้นไทยแพงไปแล้ว และในตลาดยังไม่มีหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเหมือนในต่างประเทศอีก ดังนั้น ปี 65 การลงทุนในตลาดหุ้นคงจะไม่ง่าย ประกอบการปัจจัยที่เข้ามากดดันทั้งเรื่องของการเก็บภาษีขายหุ้น , หนี้เสียกลุ่ม SMEs และโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่คาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงขึ้น” 

สำหรับ ประเด็นเรื่องการจัดเก็บภาษีขายหุ้นในปีนี้ “เสี่ยยักษ์” บอกว่า หากมีจัดเก็บภาษีขายหุ้นดังกล่าวจริงคาดว่าน่าจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) โดยรวมในตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนจะมีต้นทุนในการลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดิม ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาให้รอบคอบอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนมีช่องทางเลือกลงทุนหลายที่ ทั้งสินทรัพย์ใหม่ หรือการลงทุนในตลาดต่างประเทศ 

“นายอนุรักษ์ บุญแสวง” หรือ “โจลูกอีสาน” อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” เปิดเผยมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยปี 2565 ว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะทรงตัว หรือดัชนีตลาดหุ้นบวก-ลบประมาณ 10% เนื่องจากตลาดยังมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบกดดัน ซึ่งปัจจัยบวกในปี 2565 ที่น่าจะเป็นตัวดึงดูดนักลงทุนได้ระดับหนึ่งคงจะเป็นประเด็นเรื่องการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งรัฐบาลจะมีโครงการต่างๆ ออกมากระตุ้น การลงทุนมากยิ่งขึ้น ขณะที่ประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนมองว่าตลาดหุ้นรับรู้ข่าวดังกล่าวไปมากแล้ว ​

ขณะที่ 3 ปัจจัยความเสี่ยงที่ยังปกคลุมตลาดหุ้นคือ ปัจจัยแรก เม็ดเงินลงทุนหายไปจากตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก หลังนักลงทุนมีการกระจายลงทุนไปในหุ้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น ปัจจัยสอง เม็ดเงินลงทุนไหลไปลงทุนทางเลือกใหม่อย่าง “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) และ ปัจจัยสาม มาตรการเก็บภาษีขายหุ้น ตามกระแสข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังจะเก็บภาษีดังกล่าวปี 2565 

“ปีนี้ตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากปีก่อน ไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่เข้ามาดึงดูดความน่าสนใจในการลงทุน ดังนั้น มองว่าตลาดหุ้นไทยก็คงไม่ได้หวือหวามาก อาจจะเคลื่อนไหวบวกลบราว 10%  อีกทั้งเม็ดเงินลงทุนยังกระจายออกไปลงทุนต่างประเทศและลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี อีกด้วย” 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์