สสว.คาดการณ์ MSME ปี 2565 โต 3.2–5.4% จับตาธุรกิจ "อาหารแปรรูป บันเทิง ที่พัก"

สสว.คาดการณ์ MSME ปี 2565 โต 3.2–5.4% จับตาธุรกิจ "อาหารแปรรูป บันเทิง ที่พัก"

สสว. คาดสถานการณ์ MSME ปี 2565 หากโอมิครอนไม่กระทบรุนแรงจะขยายตัวได้ 3.2-5.4% เชื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และภาคส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ โดยกลุ่มธุรกิจน่าจับตามองมีอาหารแปรรูป บันเทิง และที่พัก

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) คาด สถานการณ์ MSME ในรอบ ปี 2564 เติบโตขึ้น 2.4% คิดเป็นมูลค่ารวม 5.49 ล้านล้านบาท สัญญาณฟื้นตัวเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 2 สะท้อนจากการส่งออก MSME ขยายตัว 18.0-19.0% เหตุเพราะตลาดส่งออกหลักทุกตลาดขยายตัวเพิ่มสูง โดยเฉพาะจีน สหรัฐอเมริกา ขยายตัวกว่า 50%

ขณะที่ปี 2565 หากไวรัส “โอมิครอน” ไม่ส่งผลกระทบรุนแรง มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565 ของรัฐบาล จะช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นระบบเศรษฐกิจช่วยให้ MSME เติบโตไม่น้อยกว่า 3.2 – 5.4% หรือมีมูลค่าประมาณ 5.669-5.789 ล้านล้านบาท

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้ทำการวิเคราะห์เพื่อสรุปภาพรวมสถานการณ์ MSME ปี 2564 พบว่า มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในรอบปีเปรียบเทียบกับปี 2563 คาดว่า GDP MSME จะขยายตัว 2.4% หรือมีมูลค่ารวม 5.49 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34.6% ของ GDP รวมของประเทศ

สาขาธุรกิจที่ GDP MSME มีการขยายตัวมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจด้านความบันเทิงและนันทนาการ รองลงมาคือ ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจด้านการศึกษา ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังคงลดลง

"การฟื้นตัวของ MSME ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 และต่อเนื่องถึงปี 2565 ปัจจัยบวกมาจากการคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ครบจำนวน 100 ล้านโดสตามเป้าหมาย"

รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ฯลฯ ช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยงช่วงสิ้นปี ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นแม้ยังไม่กลับไปเท่าช่วงก่อนล็อกดาวน์ก็ตาม

แต่ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือการแพร่ระบาดของโอมิครอนว่าจะมีสถานการณ์รุนแรงอย่างไรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะจะส่งผลกับนักท่องเที่ยวที่จะตัดสินใจเดินทางมาเยือนประเทศไทยด้วย

นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศมีทิศทางดี โดยคาดว่าหากสามารถรับมือการแพร่ระบาดได้ เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สถานการณ์ด้านการค้าระหว่างประเทศของ MSME มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง โดยการส่งออกในรอบปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 20.0% เมื่อพิจารณาในช่วง 11 เดือนแรกของปี (ม.ค.-พ.ย.) MSME มีการส่งออกคิดเป็นมูลค่ารวม 915,211.9 ล้านบาท ขยายตัว 19.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 11.8% ของมูลค่าการส่งออกรวมของประเทศ

ตลาดส่งออกหลักที่สำคัญของ MSME ขยายตัวทุกตลาดโดยเฉพาะจีนที่มีการขยายตัวสูงคิดเป็น 42.5% ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียน ขยายตัว 8.4% สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 9.0% ญี่ปุ่น ขยายตัว 12.6% และสหภาพยุโรป ขยายตัว 14.4%

สำหรับสินค้าส่งออกที่เติบโตสูงสุด ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบโต 50.0% รองลงมาคืออัญมณีและเครื่องประดับ ขยายตัว 34.7% นอกจากนี้ยังมีกลุ่มไม้และของทำด้วยไม้ พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า และผลไม้สด ขยายตัวระหว่าง 16.5 - 32.3%
 
ส่วนการนำเข้าของ MSME ช่วง 11 เดือนแรก (ม.ค. - พ.ย.) มีมูลค่า 1,030,688.3 ล้านบาท ขยายตัว 11.4% คิดเป็นสัดส่วน 13.4% ของมูลค่าการนำเข้ารวมของประเทศ โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ และ ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า

ในด้านจำนวนกิจการและการจ้างงานของ MSME จากข้อมูลของระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคม ในรอบปี 2564 เป็นต้นมา แม้จะหดตัวลงตามวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่นับตั้งแต่เดือน ต.ค. เป็นต้นมา สถานการณ์กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกิจการ MSME เข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า คิดเป็น 6.35% หรือมีจำนวนรวม 421,525 แห่ง ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์โควิด-19 ตั้งแต่เดือน เม.ย.2563 เป็นต้นมา

เช่นเดียวกับจำนวนการจ้างงาน ที่ขยายตัว 2.47% หรือมีจำนวนการจ้างงานรวม 4,110,021 คน และหากไม่มีผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ คาดว่าจะมีจำนวนผู้ประกอบการและจำนวนการจ้างงานเข้าระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้น

“สถานการณ์ ของ MSME ในปี 2565 หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โอมิครอนได้คาดว่า GDP MSME จะเติบโตระหว่าง 3.2 – 5.4% หรือมีมูลค่าประมาณ 5.669-5.789 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของเศรฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 30 - 40% มีรายได้จากการท่องเที่ยว 0.59 ล้านล้านบาท คาดว่าธุรกิจในภาคบริการจะเติบโตระหว่าง 3.4 – 5.8% และธุรกิจที่น่าจับตามองในปี 2565 ได้แก่ ธุรกิจอาหารแปรรูป ธุรกิจให้ความบันเทิง (สันทนาการ) ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจเครื่องสำอาง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจโมเดิร์นเทรด ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจแปรรูปยางพารา 

อย่างไรก็ดี คาดว่ามาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2565 ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ อย่างช้อปดีมีคืน โครงการคนละครึ่ง มาตรการลดภาระผู้ประกอบการ/ประชาชน รวมถึงมาตรการทางการเงิน ในโครงการของขวัญปีใหม่ปี 2565 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อเสริมสภาพคล่องและลดค่าใช้จ่าย 

จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อให้กับประชาชน กระตุ้นให้เกิดการบริโภค การค้า การลงทุน ช่วยลดต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ MSMEs รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ให้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นต่อไป