JMT ศักยภาพในการเติบโตสะท้อนไปที่ premium ของมูลค่าหุ้น

JMT ศักยภาพในการเติบโตสะท้อนไปที่ premium ของมูลค่าหุ้น

JMT ดำเนินการเพิ่มทุนตามแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้รับเม็ดเงินใหม่เพิ่มประมาณ 1 หมื่นล้านบาท (RO 241 ล้านหุ้น @ 41.50 บาท พร้อมแถม warrant 70.5 ล้านหน่วย กำหนดราคาใช้สิทธิ์ที่ 90.00 บาท)

ซึ่งเงินทุนก้อนใหม่นี้จะทำให้สัดส่วน D/E ลดลงทันทีเหลือ 0.5x (จาก 1x ใน 3Q64) และจะทำให้บริษัท
สามารถซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้ตามแผน ~7 พันล้านบาท – 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2564, 1.5 หมื่น
ล้านบาทในปี 2565 และ 2.0 หมื่นล้านบาทในปี 2566 เพื่อเพิ่มพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็น 4.5 หมื่น
ล้านบาทในปี 2566 คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 70% CAGR ในช่วงสามปีข้างหน้า ในขณะที่ยังคงสัดส่วน
D/E เอาไว้ที่ <2x ได้ในปี 2566 (ใช้สมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 80%)

 

การตั้ง JV ร่วมกับธนาคารเพื่อบริหาร AMC จะเป็ น upside ในแง่ของการเติบโต
 

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายเกณฑ์การทำธุรกิจ AMCs โดยอนุญาตให้ธนาคารของรัฐขาย
สินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกมาได้ และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการตั้ง JV ของธนาคาร และ
AMC ซึ่งการคลายเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้ธนาคารและ AMC สามารถบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้
อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในส่วนของ AMC จะได้ประโยชน์จากการที่มีการนำสินทรัพย์ด้อย
คุณภาพของธนาคารรัฐออกมาประมูลมากขึ้น และเพิ่มขอบเขตการดำเนินธุรกิจโดยใช้โมเดลธุรกิจแบบ
asset-light ทั้งนี้ เนื่องจาก AMC มีประสิทธิภาพสูง JMT จึงเป็นตัวเลือกชั้นดีที่ธนาคารจะเลือกจับมือ
เป็นพันธมิตรร่วมตั้ง JV ด้วย เราคาดว่า ธปท. น่าจะได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ภายในสิ้นปี 2564 หรือใน 1Q65
ซึ่งหากกลยุทธ์นี้เดินหน้าไปได้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของกำไรของ JMT โดยใช้
โมเดลธุรกิจแบบ asset-light

 

 

 

คาดว่ากำไรจะเร่งตัวขึ้นใน 4Q64

JMT เริ่มติดตามเก็บหนี้จากสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ซื้อเข้ามาในงวด 9M64 (รวม 7.1 พันล้านบาท) ซึ่งจะ
ทำให้ยอดติดตามเก็บหนี้จะเพิ่มขึ้น 15% QoQ และ 44% QoQ ใน 4Q64F และคาดว่ายอดจะเพิ่มขึ้น 25%
ในปี 2564F ถึงแม้ว่าจังหวะการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจะชะลอลงเนื่องจากธนาคารต่าง ๆ เลื่อนการ
ประมูล NPL ออกไป แต่เราคาดว่าบริษัทจะสามารถซื้อสินทรัพย์เพิ่มเข้ามาได้อีกประมาณ 1 พันล้าน
บาทใน 4Q64F (จาก 3.50 พันล้านบาทใน 3Q64 และ 8.5 พันล้านบาทในปี 2564F) นอกจากนี้ เรายังคาด
ว่าปัจจัยฤดูกาล และประสิทธิภาพในการติดตามหนี้จะช่วยหนุนให้ margin เพิ่มขึ้นอีก 250bps QoQ เรา
คาดว่ากำไรสุทธิของ JMT ใน 4Q64F จะอยู่ที่ประมาณ 408 ล้านบาท (+16% QoQ, +23% YoY) และใน
ปี 2564F จะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท

 

ปรับเพิ่มกำไรปี 2564/65/66 ขึ้นอีก 3%/4%/16%, เพิ่ม TP-65F เป็น 77 บาท, ปรับคำแนะนำเป็นซื้อ

เราปรับประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนถึงการติดตามเก็บหนี้ที่ดีขึ้นใน 4Q64 และต้นทุนการดำเนินงานที่
ลดลงจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประเภทสินเชื่อมีหลักประกัน ในขณะที่ margin ยังคงมี
แนวโน้มลดลงในอีกสองปีข้างหน้าเนื่องจากจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายในการ amortize ต้นทุนการลงทุน
เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ใช้สมมติP/E ที่ 50x (สะท้อนการเติบโต CAGR ในช่วงปี 2565-66) ทำให้เราได้ราคา
เ ป้าหมายใหม่ที่ 77.00 บาท (จาก 58.00 บาท) ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็นซื้อ

 

Risks

ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพน้อยกว่าแผนที่วางไว้, margin ลดลง, เติบโตเร็วเกินไป