“บิ๊กป้อม” สั่งเร่งระบายน้ำท่วมค้างทุ่งลุ่มเจ้าพระยา ขีดเส้น 22 ธ.ค.นี้

“บิ๊กป้อม” สั่งเร่งระบายน้ำท่วมค้างทุ่งลุ่มเจ้าพระยา ขีดเส้น 22 ธ.ค.นี้

ประวิตร” สั่งเร่งการระบายน้ำท่วมขังลุ่มเจ้าพระยา ท่าจีน–ชีมูล ขีดเส้นให้แล้วเสร็จภายใน 22 ธ.ค.นี้ หวังทุกพื้นที่คืนสู่ภาวะปกติก่อนปีใหม่ พร้อมคุมเข้มการจัดสรรน้ำและการปลูกพืชในฤดูแล้งให้เป็นไปตามเป้าหมาย

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กอนช. มีความเป็นห่วงประชาชนที่ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ที่เหลือ

 

“บิ๊กป้อม” สั่งเร่งระบายน้ำท่วมค้างทุ่งลุ่มเจ้าพระยา ขีดเส้น 22 ธ.ค.นี้

จึงได้สั่งการและกำชับให้ กอนช. เร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมถึงลุ่มน้ำชี-มูล ให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนสิ้นปี 2564 เพื่อของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน     พร้อมทั้งให้ติดตามการจัดสรรน้ำ การเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง และการดำเนินงานตามมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ ฤดูแล้ง ปี 2564/65 ทั้ง 9 มาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้

 

สำหรับ ปริมาณน้ำในทุ่งรับน้ำทั้ง 11 แห่งของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ล่าสุดเหลือปริมาณน้ำค้างทุ่งประมาณ 500 ล้าน ลบ.ม. โดยวางแผนที่จะระบายน้ำออกจากทุ่งให้เหลือค้างทุ่งที่ระดับความลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร เพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนในการปลูกข้าวนาปรัง และลดการใช้ปริมาณน้ำจาก 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา

 

 

ซึ่งขณะนี้ทุ่งรับน้ำทั้ง 11 แห่ง ได้ระบายน้ำออกได้ตามแผนแล้ว 8 แห่ง คือ ทุ่งบางระกำ ทุ่งเชียงราก ทุ่งท่าวุ้ง ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก ทุ่งบางบาล-บ้านแพน ทุ่งป่าโมก ทุ่งบางกุ่ม และทุ่งบางกุ้ง  ส่วนที่เหลืออีก 3 แห่ง คือ ทุ่งผักไห่ ทุ่งเจ้าเจ็ด และทุ่งโพธิ์พระยา เหลือปริมาณน้ำที่จะต้องระบายออกรวมกันประมาณ 73.56 ล้าน ลบ.ม.

 

"ขณะนี้ได้ระดมสรรพกำลังเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เพื่อช่วยเร่งนำน้ำออกโดยไม่ให้มีผลกระทบกับพื้นที่ข้างเคียง ซึ่งจะเน้นระบายน้ำออกทางแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก ส่วนทางแม่น้ำท่าจีนจะสูบน้ำออกในช่วงจังหวะน้ำทะเลลดต่ำลงเท่านั้น คาดว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ สามารถกักเก็บน้ำให้เกษตรกรพื้นที่ลุ่มต่ำได้ทำการเพาะปลูกข้าวนาปรังได้ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2564 นี้อย่างแน่นอน "

ขณะที่การระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 700 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ต่ำกว่าตลิ่งแล้ว

 

 

 

ในส่วนของลุ่มน้ำชี-มูล ขณะนี้ยังมีพื้นที่น้ำท่วมอยู่บ้างในพื้นที่ลุ่มต่ำจังหวัดร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี โดยลุ่มน้ำชีขณะนี้ได้ชะลอการระบายน้ำออกจากเขื่อนชนบท เขื่อนมหาสารคาม และเขื่อนวังยาง   ด้วยการลดบานระบายน้ำเพื่อเริ่มกักเก็บน้ำไว้ในช่วงฤดูแล้ง เช่นเดียวกับลุ่มน้ำมูลได้ชะลอการระบายน้ำของเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านท้ายน้ำ

 

พร้อมควบคุมการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ และเร่งระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขง   คาดว่าจะสามารถระบายน้ำออกได้ทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2564 นี้เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นจะเริ่มทำการกักเก็บน้ำในลำน้ำหรือในพื้นที่เพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูแล้งถัดไป

 

 สำหรับการปลูกพืชฤดูแล้งปี 2564/65 นั้น ได้มีการจัดสรรให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ซึ่งหลังสิ้นฤดูฝนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 มีปริมาณน้ำเก็บกักทั้งประเทศรวม 72,596 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น ปริมาณน้ำในเขตชลประทาน 37,857 ล้าน ลบ.ม. และนอกเขตชลประทาน 34,739 ล้าน ลบ.ม. สามารถจัดสรรน้ำเพื่อการปลูกพืชฤดูแล้งได้จำนวน 11.65 ล้านไร่ แบ่งเป็น     

  ในเขตชลประทาน 6.95 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 4.7 ล้านไร่ โดยในส่วนนี้เป็นการทำนาปรังในเขตชลประทาน 6.41 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 2.61 ล้านไร่ และเป็นพืชไร่พืชผักในเขตชลประทาน 0.54 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 2.09 ล้านไร่       ซึ่งขณะนี้การจัดสรรน้ำและการปลูกพืชยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้