บล.กสิกรไทย ลุ้น ‘สหรัฐ-จีน’จบดีลการค้า ดันหุ้นไทยพีคสุด แตะ 1,730จุด

บล.กสิกรไทย ลุ้น ‘สหรัฐ-จีน’จบดีลการค้า ดันหุ้นไทยพีคสุด แตะ 1,730จุด

บล.กสิกรไทย ชี้หุ้นไทยมีโอกาสพีคสุดที่ 1,730 จุดหากการสหรัฐ จีนเจรจาการค้าจบไปด้วยดี รวมถึงการท่องเที่ยวที่คาดกลับมาฟื้นตัวดี แนะจับตาเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ชู 6ธีมการลงทุน ที่มีโอกาสเติบโตด้านรายได้กำไร รับความเสี่ยงเงินเฟ้อได้

    ด้าน นายภาสกร ลินมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือเงินเฟ้อว่าจะมีทิศทางอย่างไร เพราะขณะนี้ธนาคารกลางเริ่มไม่พูดว่าเงินเฟ้อเป็นปัจจัยชั่วคราวแล้ว ดังนั้นเงินเฟ้อที่มีภาวะเร่งตัว ทำให้ตลาดเริ่มมองว่า มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยจาก 2ครั้งเป็น 3 หรือ 4 ครั้งหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา 
    สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทย ปีหน้ามองหุ้นไทยมีโอกาสสูงที่จะขึ้นไปทะลุ 1,680 จุด ในช่วงครึ่งปีแรกปีหน้า และจะแผ่วในครึ่งปีหลัง แต่ซินาริโอสูงสุด คาดว่าหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปสูง 1,730 จุดได้ หากการเจรจาการค้าสหรัฐจีนมีการตกลงกันได้ดี รวมถึงการท่องเที่ยวกลับมาได้ดี 

      สำหรับซินาริโอ้ ที่แย่กว่านั้น มองหุ้นไทยมีโอกาสไปที่ 1,625 จุดเหมือนระดับปัจจุบัน หากท่องเที่ยวไม่กลับมา และโอมีครอนมีผลกระทบมากกว่าคาด รวมถึงปัญหาจากเงินเฟ้อ ที่ทำให้เฟดอาจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเร่งด่วน ก็อาจตลาดหุ้นไทย ไปสู่ 1,550 จุด และ 1,500 จุดได้
      ส่วนการแนะนำการลงทุน แนะนำหุ้นที่มีความสามารถเติบโตทั้งเชิงรายได้ และการทำกำไรได้ และสามารถรองรับความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้  โดยแนะนำ 6ธีมการลงทุน 
     กลุ่มแรก โดยเลือกจาก หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง โดยคาดว่าปลายปีหน้าจะมีการยุบสภา ดังนั้นหุ้นที่จะได้ประโยชน์ เช่น CPALL , บมจ.โอสถสภา(OSP), LH, บมจ. ซิโนไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น(STEC) ขณะที่กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองคือ บริษัทแอสเสท เวิร์ด คอร์ป( AWC),บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง(SPRC)

     ขณะที่กลุ่มที่ได้ผลบวกจากราคาน้ำมัน คือกลุ่ม Anti Commodities plays คือ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี(PTG), บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) ,บมจ.อีสเทิร์น โพลีเมอร์(EPG),บมจ.บีกริม เพาเวอร์ (BGRIM) ที่มีโอกาสดีดตัวขึ้น หาก Anti Comodities ดีดตัวขึ้น
     ถัดมาคือ กลุ่มที่ได้ผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น คือ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต(BLA) ธนาคารไทยพาณิชย์( SCB) ที่จะได้ผลบวก จากอัตราดอกเบี้ยขึ้น ซึ่งหนุนต่อการเติบโตสินเชื่อ และส่วนต่างดอกเบี้ยดีขึ้น รวมถึงผู้ที่ได้ประโยชน์ จากกระแสความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า EV เช่น  บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ ( KCE) สุดท้ายคือ กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จาก 5G คือ ADVANC
    ดังนั้น 5 หุ้นเด่นที่แนะนำ คือ BLA ให้ราคาเป้าหมายที่ 41.0บาท เพราะได้ผลบวกจากเงินเฟ้อที่หนุนอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเพิ่มขึ้น ทำให้สำรองBLA มีทิศทางลดลง และมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น จากการลงทุนในพันธบัตรที่มีสูง90%ของพอร์ตลงทุน จึงเป็นหุ้นเด่อนของบริษัท
    ถัดมาคือ AWC ที่จะบวกจากการเปิดเมือง โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 6.55 บาท ขณะที่ KCE ให้เป้าหมาย 108 บาท ที่มีแนวโน้มกำไรดีขึ้นต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่วน CPALL ให้ราคาเป้าหมายที่ 73บาท จากการเปิดเมืองการบริโภคเพิ่มขึ้น  และสุดท้าย ADVANC ให้ราคาเป้าหมายที่ 230 บาท