ปั้น “BRI” ภารกิจใหม่...หุ้นใหญ่ “ORI” !

เจาะแผนลับ “ตระกูลจรูญเอก” ปฏิบัติการภารกิจดัน “บริทาเนีย” เข้าตลาดหุ้น 21 ธ.ค.นี้ ในราคา 10.50 บาท “ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์” ลั่นเกมชนะธุรกิจท่ามกลางสมรภูมิอสังหาฯ ! เน้นขยายโครงการในทำเลที่มีศักยภาพเติบโตสูง !
หลัง “ตระกูลจรูญเอก” นำพา บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ! เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2558 จนสามารถขึ้นแท่น หนึ่งใน “หุ้นขาประจำพอร์ตเซียนหุ้นรุ่นใหญ่” อย่าง “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” และภรรยา “วารุณี ชลคดีดำรงกุล” จำนวน 4.32% และ 1.58% ตามลำดับ
ล่าสุด “พีระพงศ์ จรูญเอก” ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ ORI จำนวน 28.28% (ตัวเลข ณ 23 พ.ย.2564) ตัดสินใจเดินหน้า “การสร้างความมั่งคั่ง” (Wealth Creation) ครั้งใหม่ ! ด้วยการผลักดัน BRI ในฐานะบริษัทในเครือ ORI ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 70.37% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยการเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 252,650,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10.50 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น เข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) 21 ธ.ค. 2564 นี้ โดยบริษัทจะได้รับเงินจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้กว่า 2,652,825,000 บาท
แม้ว่าจะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อายุน้อยเพียง 4-5 ปี ! แต่ บมจ. บริทาเนีย หรือ BRI ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดที่มีศักยภาพการเติบโตระดับสูง ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ระยะเวลา” อาจจะไม่ได้เป็นตัวการันตีความสำเร็จได้เท่า “ผลงาน”
สะท้อนผ่าน ตัวเลขผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง (2561-2563) มี “กำไรสุทธิ” 71.65 ล้านบาท 207.14 ล้านบาท และ 348.72 ล้านบาท ด้าน “รายได้” 515.47 ล้านบาท 1,561.01 ล้านบาท และ 2,342.09 ล้านบาท
หากย้อนดูเส้นทางของความสำเร็จของ BRI “จุดเริ่มต้น” มาจากการเป็นบริษัทย่อยที่ Spin-Off ออกมาจากบริษัทแม่ คือ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” (ORI) ที่ปัจจุบัน ORI มี “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 25,755.06 ล้านบาท
ดังนั้น BRI จึงถูกวางให้เป็น The New S Curve ของกลุ่ม ORI ที่จะบุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยเป็นตลาดที่มี “ความต้องการ” (ดีมานด์) ในระดับสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเมือง บวกกับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) หลังพฤติกรรมคนเปลี่ยนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ณ ปัจจุบัน BRI มีการพัฒนาโครงการภายใต้ 4 แบรนด์ ประกอบด้วย 1. “แบรนด์ไบรตัน” เป็นโครงการบ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัด จับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber) 2. “แบรนด์บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก
“ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บริทาเนีย หรือ BRI ฉายภาพการเติบโตของธุรกิจให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบของ BRI เป็นเป็นบริษัท “เรือธง” ของกลุ่ม ORI โดยปัจจุบันมีโครงการครอบคลุมทั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งอนาคตวางเป้าหมายสร้างการเติบโตต่อเนื่อง
สะท้อนผ่าน แผนธุรกิจ 3-5 ปีข้างหน้า (2564-2568) บริษัทจะรักษาระดับการเติบโตรายได้เติบโตปีละไม่น้อยกว่า 30-40% ซึ่งเงินระดมทุนไปใช้ขยายการพัฒนาโครงการใหม่ ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยเฉพาะกลยุทธ์การลงทุน มุ่งเน้นการขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งการนำบริษัทก้าวเป็น “ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ” ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ เน้นทำเลใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมและจังหวัดที่ได้รับประโยชน์จาก “โครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” (ECC)
ในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่ 10 โครงการ รวมมูลค่า 10,800 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และขยายในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยจากการขยายตัวของเมือง
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่กำหนดเปิดขายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 รวมมูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่กังวลการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน เพราะตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการแพร่ระบาดโควิด-19 บริษัทได้รับผลกระทบเชิงบวก ช่วงที่ล็อกดาวน์ยอดขายบ้านของบริษัทเติบโตดีมาก กลับมองเป็นโอกาสของแนวราบมากกว่า ซึ่งถ้าโอไมครอนรุนแรงก็เป็นโอกาสอีกครั้งของ BRI เพราะโครงการแนวราบตอบโจทย์ได้ดี
สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ทำ “สถิติสูงสุด” ทั้งในด้านรายได้รวมและกำไรสุทธิ โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 164.59 ล้านบาท และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,045.98 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 2564 สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงที่ผ่านมา
โดยมีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายสุด “ศุภลักษณ์” บอกไว้ว่า เรายังมีจุดเด่นในการพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปจากการศึกษาความต้องการ และปัญหาต่างๆ (Customer Pain Point) ของผู้บริโภค







