WFX เคาะราคา IPO 7.20 บาทต่อหุ้น จอง 9-17 ธ.ค.นี้

WFX เคาะราคา IPO 7.20 บาทต่อหุ้น จอง 9-17 ธ.ค.นี้

เวิลด์เฟล็กซ์ เคาะราคาขายไอพีโอ 7.20 บาทต่อหุ้น รายย่อย-สถาบันจองซื้อ 15-17 ธ.ค. 64 คาดเข้าเทรด SET ก่อนคริสต์มาส นี้ หลังเพิ่มกำลังการผลิตมั่นใจรักษาการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยปีละ 15%

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของบริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WFX เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท กำหนดจากผลBookbuilding จากนักลงทุนสถาบันจำนวน 3 แห่ง ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 9-14 ธ.ค.2564 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นในTRUBB (Pre-emptive Right) และวันที่ 15-17 ธ.ค. 2564 สำหรับประชาชนทั่วไป และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ ก่อนคริสต์มาส หรือภายในธันวาคม นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า“WFX” ในหมวดแฟชั่น

"การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 7.20 บาท/หุ้น เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ในฐานะผู้นำตลาดเส้นด้ายยางยืดชั้นนำระดับโลก และในอนาคตมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากแผนเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอีก 14,200 ตัน/ปี จากปัจจุบันกำลังการผลิต 36,000 ตัน/ปี รองรับการขยายตลาดใหม่ สร้างโอกาสในการก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดโลกได้ในอนาคต ซึ่งทำให้นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจหุ้น WFX เป็นอย่างมาก” 

นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WFX กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิต 300 ล้านบาท บางส่วนใช้คืนหนี้สถาบันการเงินที่เป็นเงินกู้ระยะสั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน กรณีเงินบาทที่อ่อนค่าเนื่องจากบริษัทส่งออกถึง 98% ได้รับประโยชน์จากตรงนี้ อย่างไรก็ตาม ได้ทำประกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ไว้บางส่วน

เข้าจดทะเบียนใน SET จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัท จากการขยายตลาดใหม่ ภายใต้จุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบของโปรดักส์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกขนาด ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

นอกจากนี้ WFX ยังมีความได้เปรียบด้านการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด รวมทั้งการที่มี TRUBB ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ช่วยให้บริษัทเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ

“มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากบริษัท เดินหน้าขยายกำลังการผลิต ซึ่งเฟสแรกมีกำหนดจะผลิตได้ในช่วงกลางปี 2565 จำนวน 6,200 ตัน/ปี และในเดือนม.ค. 2566 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 6,200 ตัน เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าในต่างประเทศ ที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก” 

นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ WFX กล่าวว่า หลังระดมทุนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 30-40% ทำให้มั่นใจว่าจะรักษาระดับการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 15% ต่อปี

สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปี 64 มีการเติบโตที่โดดเด่นมาก โดยมีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 15.96% และกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 7.27%

ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 61-63 มีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 7.72 ล้านบาท และ 57.81 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นในปี 61-63 อยู่ที่ 4.82% 4.76% 7.42% และกำไรสุทธิในปี 61-63 อยู่ที่ 1.03% 0.38% 2.40% ตามลำดับ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของ WFX เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทได้มีการใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งในเอเชียใต้ บังกลาเทศ ปากีสถาน เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี รวมถึงชิงส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) จากคู่แข่ง จากความได้เปรียบในด้านต้นทุนยางพาราธรรมชาติที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทย เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก

ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของปัจจุบันอยู่ที่ 1.12 เท่า ซึ่งภายหลังเข้าระดมทุน และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) บริษัทมีแผนนำเงินบางส่วนไปใช้คืนหนี้สถาบันการเงิน ทำให้ D/E อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า

การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย

1.เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้น TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้น TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่เกิน 11,360,000 หุ้น

2.เสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวนไม่เกิน 14,200,000 หุ้น

3.เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 116,440,000 หุ้น

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์