Quantamental "สะสมหุ้น" สวนความกังวลของกระแสตลาด

Quantamental "สะสมหุ้น" สวนความกังวลของกระแสตลาด

บทวิเคราะห์เดือนก่อน เราแนะนำนักลงทุน เปลี่ยนตัวเล่น "Switching" จากหุ้นใหญ่และหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก ไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมทั้งหุ้นที่ยังไม่แพง

เนื่องจาก Valuation ของตลาดฯที่ค่อนข้างแพง ขณะที่มีประเด็นลบเรื่องการกลายพันธุ์ของโควิด "Omicron" จึงทำให้นักลงทุนใช้เป็นเหตุผลในการขายทำกำไรหุ้นที่ปรับขึ้นมามากเพื่อล๊อกกำไร

 

สะสมหุ้นสวนกระแสตลาดฯ

ตลาดการเงินทั่วโลกถูกขายทำกำไรในช่วงปลายเดือน พ.ย. เนื่องจากนักลงทุนในใช้เหตุผลความกังวลต่อการกลายพันธุ์ของโควิด อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะเลือก wait&see ในเดือน ธ.ค. เพื่อรอพิจารณาสถานการณ์ ผลกระทบของโควิด Omicron ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยปกติแล้วช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการปรับปรุงประมาณการฯปีถัดไป จะเป็นช่วงการ Preview ผลการดำเนินงาน 4Q64 ซึ่งจะเป็นช่วงราวๆเดือน ม.ค.ของแต่ละปี หรือไม่ก็เป็นช่วงการ Review ผลการดำเนินงานปี 2564ซึ่งจะเป็นช่วงราวๆเดือน มี.ค.ของแต่ละปี ดังนั้นเราเชื่อว่าจะยังไม่มีการปรับประมาณการฯอย่างมีนัยสำคัญในเดือน ธ.ค. นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ยังถูกกดดันจากความกังวลต่อโควิด Omicron ดังนั้น Valuation ของตลาดหุ้นไทยขณะนี้จึงมีความน่าสนใจมากกว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และอีกประเด็นที่หนุนคือการเปลี่ยนปีปฏิทิน ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี หรือข้ามเข้าสู่ต้นปีถัดไป นักลงทุนจะปรับสมมติฐานใหม่ โดยนำประมาณการฯปีถัดไปมาเป็นสมมติฐานหลักในการ Valuation เพื่อตัดสินใจลงทุน และขณะนี้ประมาณการฯปี 2565 คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตเด่นแบบ YoY ดังนั้น Valuation ของตลาดหุ้นไทยจะเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญช่วงเปลี่ยนปีปฏิทิน เราจึงแนะนำนักลงทุน ทยอยซื้อสะสมหุ้น

 

 

 

Value factor: หุ้นถูกกว่าหลายเดือนที่ผ่านมา

เดือน พ.ย. นักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ลงเล็กน้อยเพียง -0.7% MoM แต่กลับปรับประมาณการเงินปันผล (DPS) ในอีก 3 ปีข้างหน้าขึ้น นอกจากนี้ Bond yield ยังปรับลดลงอีกด้วย

i) Implied equity risk premium (iERP): iERP ณ สิ้นเดือน พ.ย.เท่ากับ 3.34% ปรับขึ้นจาก 3.18% ในเดือนก่อนหน้า และเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่สิ้นเดือน ก.ค.

ii) Modified yield gap (M-yield gap): M-yield gap ณ สิ้นเดือน พ.ย. เท่ากับ -0.52 จุด ปรับขึ้นจาก -1.31 จุด ในเดือนก่อน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ตัวเลข M-yield gap ที่ยังติดลบแสดงว่าตลาดหุ้นยังน่าสนใจลงทุนน้อยกว่าตลาดพันธบัตรอยู่เล็กน้อย

iii) Cyclical adjusted PE (CAPE): CAPE ณ สิ้นเดือน พ.ย. เท่ากับ 19.3 เท่า ลดลงจาก 20 เท่าในเดือนก่อน ขณะที่ Excess CAPE yield (ECY) เท่ากับ 3.39% เพิ่มขึ้นจาก 3.13% ในเดือนก่อน ซึ่งสูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ค.

 

Momentum factor: Momentum อ่อนแรง / แต่คาดหวังการ Rebound ระยะสั้น

Momentum ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรพลิกกลับมาเป็นลบ โดยผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นย้อนหลัง 3 เดือนติดลบ -1.4% ต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดพันธบัตรติดลบ -0.28%ต่อเดือน อย่างไรก็ดี เราคาดหวังการ Rebound ระยะสั้น ผลจากการขายมากเกินไป (Over-reaction) ในเดือน พ.ย.

 

 

 

 

ซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว

เราคาดหวังการ Rebound ของตลาดหุ้นในเดือน ธ.ค. และต้นเดือน ม.ค. เราจึงแนะนำให้สะสมหุ้นเมื่อราคาอ่อนตัว โดยหุ้นเด่นที่เราคัดกรองมาจากโมเดลเชิงปริมาณ 20 ตัว จะเน้นไปที่ i) Valuation ii) การเติบโตของกำไรปีหน้า และ iii) price momentum โดยในเดือน พ.ย. ผลตอบแทนรวมจากหุ้นเด่น 20 ตัวของเรากำไร +0.8% (คำนวณแบบ Equal weight) แต่ขาดทุน -2.1% หากคำนวณแบบ Market cap weight ซึ่งยังชนะตลาดฯ เนื่องจาก SET index ลดลง -3.4% ในเชิง Technical เราประเมิน SET index มีแนวรับ 1,560 จุด และ 1,530 จุด ตามลำดับ ขณะที่ประเมินแนวต้าน 1,620 จุด และ 1,640 จุด ตามลำดับ