ยังเลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่มีการถือครองต่ำ หรือ IPO ที่ยังขึ้นน้อย

ยังเลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่มีการถือครองต่ำ หรือ IPO ที่ยังขึ้นน้อย

เจอโรม พาวเวล ได้รับเสนอชื่อเป็นประธานเฟดสมัย 2  ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจแต่งตั้งเจอโรม พาวเวล ขึ้นรับตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นสมัยที่ 2

แม้ไม่ทำให้ตลาดประหลาดใจ แต่ก็ถือว่าผิดจากที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนบางส่วนคาดว่าอาจมีการเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดี ทั้งนี้การได้ประธานเฟดคนเดิมช่วยลดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงิน ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นและพันธบัตร ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น สูงสุดนับจาก ก.ค.63 เป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นต่อทิศทางเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่และเอเซีย, ราคาทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์

ติดตามการปล่อยน้ำมันทางยุทธ์ศาสตร์ ราคาน้ำมันดิบยังปรับลดลง หลังมีรายงานว่าสหรัฐฯ ทำการติดต่อจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และอินเดีย เพื่อให้พิจารณาปล่อยน้ำมันดิบในคลังปิโตรเลียมสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาดโลก และลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความผันผวนต่อน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และสร้างแรงกดดันต่อการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย เรายังคงมุมมองภาพใหญ่เป็นการหมุนออกจากกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงหลังโควิด มาเป็นหุ้นเกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ ที่จะได้ผลดีจากการเปิดเมืองและฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษบกิจ อย่างไรก็ตามในระยะสั้นตลาดมีแนวโน้มพักเงินในกลุ่มหุ้นที่ยังมีการถือครองต่ำ (under-owned) ซึ่งถัดจากสื่อสาร จะมีหุ้นในกลุ่มกองรีทส์, สาธารณูปโภค, พลังงานทดแทน รวมถึงหุ้น IPO ที่ยังปรับขึ้นไม่มากนัก อาทิ WHART, FTREIT, WHAUP, EASTW, ETC, ACE, UBE, ONEE, DMT, SNNP, CV 

 

 


 

ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) พลังงานทดแทนและรถไฟฟ้ารับ COP26 ดีกับ EA, NEX, SUPER 2) กลุ่มโภคภัณฑ์ป้องกันเงินเฟ้อ PTTEP, PTTGC, IVL, TOP 3) ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น ซึ่งบวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, TIPH 4) หุ้นธีมเปิดเมือง CPN, CRC, MINT, CENTEL, ERW, BA 5) เรามองทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 6) ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ได้แก่ SPALI, QH, PSH, ORI, LPN, LH, AP (ตามลำดับ) 7) ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน หนุนการย้ายฐานผลิตมาไทย บวกกับ AMATA, WHA, ROJNA, CCET, SMT 8) กลุ่มการเงินหรือ IPO ที่ยังขึ้นน้อย IFS, PIN, ONEE, CV, UBE

ภาพรวมกลยุทธ์: ภาพรวม  SET Index ยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยเป็นการแกว่งตัว 1,635-1,660 จุด สื่อสารอาจเห็นการหมุนไปยังหุ้นอื่นในกลุ่ม (อาทิ SAMART, JAS) ระหว่างรอปัจจัยบวกใหม่ ยังเน้นเก็งกำไรรายตัว ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศ หุ้นที่มีการถือครองน้อยแลหุ้นที่เพิ่ง IPO เข้ามาไม่นาน หลายตัวยังน่าสนใจ //หุ้นแนะนำ: ONEE*, IFS*, SAMART*, TKN*

แนวรับ: 1,635 / แนวต้าน : 1,660 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

ไฟเขียวรวมหนี้ข้ามแบงก์ –     ธปท.เปิดมาตรการช่วยลูกหนี้เพิ่มเติม เปิดให้ "รวมหนี้" ข้ามแบงก์ โดยใช้หลักประกันจากสินเชื่อบ้าน ช่วยลดภาระดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 10% จากเดิม 25% หวังช่วยลูกหนี้รอดวิกฤติ พร้อมสั่งห้ามแบงก์คิดค่าธรรมเนียมโปะหนี้เอื้อรีไฟแนนซ์

ส่งออกพุ่ง 10 เดือนทำเงิน 6.95 ล้านล้าน – ตัวเลขการส่งออกเดือนต.ค.64 ขยายตัวเป็น +17.4% คิดเป็นมูลค่า 22,738.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขรวม 10 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออก +15.7% คิดเป็นมูลค่า 222,736.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Opportunity day –23 พ.ย. – PTTGC, ITEL, KTC, ILINK, KISS, SEAFCO, AGE, L&E, SICT, PYLON, BCP / 24 พ.ย. – META, LHK, CRD, WHAUP, ARROW, MOONG, SMD, WHA, PM, GULF, PL, ILM /

 

ประเด็นติดตาม: - 23 พ.ย.: US manufacturing PMI เดือน พ.ย. / 30 พ.ย. – MSCI Rebalancing Effective date / 17 ธ.ค. – FTSE Rebalancing Effective date

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)