MAKRO ก้าวแรกสู่สังเวียนผู้นำธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกระดับภูมิภาค

MAKRO ก้าวแรกสู่สังเวียนผู้นำธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกระดับภูมิภาค

Siam Makro หรือ MAKRO ดำเนินธุรกิจค้าส่งจำหน่ายสินค้า แบบชำระเงินสดและบริการตนเอง (Cash & Carry) ในประเทศไทย และมีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย

โดยธุรกิจของบริษัทฯ มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ได้แก่ สินค้าอาหารสด สินค้าอาหารแห้ง และสินค้าอุปโภค (Non-food products) โดยมีจำนวนสาขารวม 145 สาขา (ไทย 138, ต่างประเทศ 7) ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 บริษัทฯ ได้ทำการรับโอนกิจการทั้งหมดของ CPRD ซึ่งรวมถึง Lotus's เสร็จสิ้น การรับโอนกิจการของบริษัทฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจค้าส่งของ Makro และธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าของ Lotus’s ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย บริษัทฯ มุ่งที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคในระดับภูมิภาคในอาเซียน และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ทั้งนี้ เมื่อได้มาซึ่งกิจการ Lotus’s แล้ว ส่งผลให้บริษัทฯ มีธุรกิจครอบคลุมในสามกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าส่ง (51% ของรายได้รวม) ธุรกิจค้าปลีก (46% ของรายได้รวม) และธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า (3% ของรายได้รวม)  เมื่อเทียบกับงบการเงินเสมือน ณ สิ้นปี 2563

 

 

ผลประกอบการจะเติบโตก้าวกระโดดใน 3 ปี ข้างหน้า กว่า 47% โดยเฉลี่ย 2564-2566

เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมของบริษัท จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ระดับ ร้อยละ 47 ในช่วงเวลา 2564-2566 หนุนโดยรายได้ที่เติบโตจากทั้งธุรกิจค้าส่ง (MAKRO) ที่ ยังคงเติบโตตามการเปิดประเทศ และ ธุรกิจค้าปลีก (Lotus’s) ที่จะฟื้นตัวจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และการเปิดเมือง และ การฟื้นตัวของรายได้ค่าเช่าพร้อมกับ Synergy ภายในกลุ่ม (2.7 พันล้านบาท) จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรสุทธิให้สูงขึ้น จากร้อยละ 2.5 ในปี 2564 เพิ่มขึ้นไป ถึง ร้อยละ 4.5 ในปี 2566

 

ประเมินมูลค่าบริษัทด้วยวิธี DCF ได้มูลค่าบริษัทที่  5.77-6.29 แสนล้านบาท

การประเมินมูลค่าบริษัทด้วยวิธี DCF เราตั้งสมมติฐาน Risk-free rate ที่ 1.5% และ Risk premium 6.5% โดยในส่วนของ Beta เราประเมินจากค่า ที่ 0.93 ขณะที่ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ราว 3.5% ดังนั้น ที่โครงสร้างเงินทุนจะเป็นมีหนี้สินที่ 27% ของเงินทุน จะได้ Weighted average cost of capital (WACC) ที่ 6.5% และ การเติบโตในระยะยาว 2% เมื่อนำมาใช้คิดลดกลับกระแสเงินสดคาดการณ์ในอนาคต 10 ปีข้างหน้าจะได้มูลค่าบริษัทในกรอบมูลค่าที่ 5.77 ถึง 6.29 แสนล้านบาท