บลจ.วรรณ กางแผน 3 ปี เล็งเข็นกองทุนตปท. -การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

บลจ.วรรณ กางแผน 3 ปี เล็งเข็นกองทุนตปท. -การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

บลจ.วรรณ ตั้งเป้า 3 ปีข้างหน้า ดัน AUM แตะ 2.5-3 แสนล้านและรายได้ 2 พันล้าน เล็งออกกองทุนใหม่ต่างประเทศ และการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ล่าสุด เปิดตัวบล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น มีรายได้ 350 ล้าน AUA 3 หมื่นล้านในปี67 มองบวกหุ้นไทยปี 65ไปต่อ ที่ 1,800 จุด แนะหุ้นได้ประโยชน์ศก.ฟื้น

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ( บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า  บริษัทวางเป้ามีมูลค่าสินทรัพย์ในการลงทุน (AUM) ใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2567)  แตะระดับ 2.5 - 3 แสนล้านบาท และมีรายได้แตะระดับ 2 พันล้านบาท ขณะที่ช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.2564) มี AUM แตะ 180,174.20 ล้านบาท และรายได้ 1,078.95 ล้านบาท

สำหรับในปี 2565 บริษัทยังคงเดินหน้าธุรกิจกองทุนรวม ผ่านตัวแทนขายและสถาบันการเงินที่เป็น "Open Architecture"  มุ่งนำเสนอกองทุนอิงตลาดต่างประเทศ 80% ที่มีผลตอบแทนในระดับสูงและการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัล ( Digital assets)  เช่น คลิปโทเคอเรนซี่, NFT เป็นต้น เนื่องจากมองว่าหลังจากทิศทางดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และอุตสาหกรรมกองทุนรวมยังมีโอกาสเติบโตได้สูงจากการดึงเงินฝากมาได้

   

พร้อมกันนี้  ล่าสุด บริษัทเปิดตัว บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด โดยบลจ.วรรณ ถือหุ้น 99% เพื่อดำเนินธุรกิจ Wealth Management แบบครบวงจร ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้าบุคคลเป็นหลักหรือกลุ่มลูกค้าที่มีวงเงิน 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อให้ตอบโจทย์การให้คำแนะนำลูกค้าแบบรายบุคคลได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้บริษัทดังกล่าวสามารถให้บริการลูกค้านิติบุคคลได้ด้วย โดยแผนธุรกิจ 3 ปี บลจ.วรรณ ตั้งเป้ารับรู้รายได้จาก บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น ราว350 ล้านบาทในปี 2567

"บล.ไพน์เวลท์ โซลูชั่น จะเน้นการลงทุนในเชิง Weatth Management มากกว่า บริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ที่เน้นการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก โดยมีผลิตภัณฑ์ทั้ง ตราสารหนี้ กองทุนรวม และหุ้นกู้อนุพันธ์ รวมถึงสินทรัพย์ลงทุนอื่นๆในอนาคต ที่จะผ่านการคัดกรองจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และจัดเป็นพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าตามความเหมาะสม" 

นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับมุมมองการลงทุนหุ้นไทยในปี 2565 คาดดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นไปแตะ  1,800 จุด จากสิ้นปีนี้คาดว่าดัชนีอยู่ที่ 1,720 จุด และปรับตัวลดลงไม่ต่ำกว่าแนวรับ 1,650 -1,600 จุด  ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนมากกว่าหุ้นสหรัฐที่ราคาปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว 

ทั้งนี้ แรงหนุนดัชนีไปแตะ1,800 จุด  คาดว่ามาจาก 3 ปัจจัยหลักที่ช่วยดันดัชนี ได้แก่ 1.ยารักษาและการป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.จากปัจจัยแรกจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวได้ 3.ปัญหาราคาสินค้าโภคโภคภัณฑ์ เช่น ราคาน้ำมันปรับตัวในระดับสูงเป็นปัจจัยชั่วคราว ไม่ได้อยู่ในระดับสูงตลอดไป และจากปัญหาสินค้าบางอย่างขาดแคลนในตลาดโลกจะเบาบางลง

สำหรับหุ้นที่แนะนำได้แก่ กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) กลุ่มหุ้นเปิดประเทศ  เช่น โรงแรม ท่องเที่ยว ภาคบริการ โรงพยาบาล และการขนส่ง ยังลงทุนได้

ด้านนายสุรศักดิ์ ธรรมโม ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางเป้าหมาย AUA (Asset Under Advisory) ในอีก 3 ปี หรือปี 2567 แตะระดับ 30,000 ล้านบาท จากปี 2564 ที่ 15,000 ล้านบาท และปี 2566 ที่ 22,500 ล้านบาท หรืออัตราการเติบโต(CARG) เฉลี่ย 26%

แผนการดำเนินงานวางเป้าหมายเป็น ONE-Stop Financial Service ให้กับนักลงทุน โดยมีผู้เชี่ยวซาญ และเจ้าหน้าที่การตลาดของ บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น ช่วยแนะนำการลงทุนให้เหมาะสำหรับนักลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่กว้างมากขึ้น

สำหรับแผนธุรกิจช่วงแรกจะเริ่มต้นนำร่องด้วยผลิตภัณฑ์กองทุนรวมในประเทศที่เป็นที่คุ้นเคยผ่านระบบ FundConnext และ Streaming Fund+ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และวางแผ่นจะเริ่มเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนรวมทั่วโลกในรูปแบบลงทุนตรงต่างประเทศในช่วงต้น-กลางปีหน้านี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้โดยเฉพาะในตลาด IPO ประกอบการให้คำแนะนำแบบ Asset Allocation uu Open Architecture ทั้งการลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว และการลงทุนแบบจับจังหวะตลาดให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของลูกค้า

โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ แนะนำการลงทุนได้เพราะมีผลิตภัณฑ์จากทั้งบลจ.ในประเทศและต่างประเทศ ตราสารหนี้ในตลาดแรก หุ้นกู้อนุพันธ์ ซึ่งอาจรวมถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และสินทรัพย์ดิจิตัลในอนาคตหากได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)