PTTEP จ่อเคาะแผนลงทุน5ปี ธ.ค.นี้ ชี้ปริมาณขายปีหน้าโตกว่าปีนี้

นายธนัตถ์ ธำรงศักดิ์สุวิทย์ ผู้จัดการ แผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่าบริษัทอยู่ระหว่างการทำแผนการลงทุนระยะ 5 ปี ฉบับใหม่ คาดประกาศให้ทราบได้ช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้ โดยการลงทุนจะสะท้อนถึงฐานะของบริษัทพร้อมทั้งการเดินหน้าโครงการต่างๆมากขึ้น

ทั้งนี้ การลงทุนใหม่เรายังคงโฟกัสประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย เมียนมา และประเทศในตะวันออกกลาง ได้แก่ โอมานและยูเออี ปัจจุบันมีแหล่งที่อยู่ระหว่างสำรวจในมือและมีแหล่งศึกษาทางธรณีวิทยาเพื่อเจาะหลุ่มสำรวจอย่างต่อเนื่อง

 

บริษัทคาดปริมาณการขายปิโตเลียมในปี 2565มีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างดีกว่าปีนี้ ที่คาดอยู่ที่4.17 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจาก จะรับรู้ปริมาณการขายจากโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และโครงการ G2/61 (แหล่งบงกช ) เข้ามา และการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการ HBR ในแอลจีเรียที่จะเริ่มได้ในปีหน้า รวมถึงการรับรู้ปริมาณการขายของโครงการบล็อก 61 ในโอมานและโครงการซาบาห์เอชในมาเลเซียเข้ามาเต็มปี

สำหรับในช่วงไตรมาส4ปีนี้ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา หลังจากเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น และคาดราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยทั้งปีนี้อยู่ที่5.7 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู และคุมต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ระดับ 28-29 ดอลลาร์ ทำให้คาดการณ์อิบิทด้าที่ระดับ 70-75% ในปีนี้

ขณะที่ราคน้ำมันดิบปี 2565 คาดช่วงต้นปีหน้าจะเห็นราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับสูงกว่าปกติ เหตุสภาวะตึงตัวจากความต้องการเพิ่มสูงขึ้น แต่กำลังการผลิตกลุ่มโอเปกพลัส ยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนราคาก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในปีหน้า คาดด้วยราคาน้ำมันที่อยู่ระดับสูง ทำให้ราคา LNG อยู่ที่ระดับ 5.5-6 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เพราะถึงแม้มีบางโครงการที่จะปรับราคาก๊าซฯตามสัญญา แต่บริษัทจะมีปริมาณการขายจากโครงการ G1-G2 เข้ามาเพิ่ม ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่า ทำให้ราคายังอยู่ในระดับที่คาดไว้ได้ และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปคาดราคา Spot LNG จะปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติในกลางปีหน้า

“ในช่วง9 เดือนปีนี้บริษัทมีปริมาณการขายอยู่ที่4.14แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไร 28,218.32 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 40.13% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมาจากรายได้การขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศเป็นหลัก และราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น”