SCC - อ่อนแอจากโควิด (วันที่ 28 ตุลาคม 2564)

SCC - อ่อนแอจากโควิด (วันที่ 28 ตุลาคม 2564)

กำไร 3Q ที่ 6.8พันลบ. (EPS 5.7บาท) -60% qoq และ -30% yoy กำไรต่ำกว่าคาดการณ์ของเราและตลาด 20% และ 30% กำไรอ่อนแอจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในเมียนมาร์, และการระบาดระลอกใหม่และล๊อคดาวน์ซึ่งกระทบทั้งสามธุรกิจ

ได้แก่ เคมีภัณฑ์, ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (CBM), และบรรจุภัณฑ์ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดทำให้ส่วนต่าง HDPE ลดลง US$123 qoq เป็น US$462/t และส่วนต่าง PP ลดลง US$149 เป็น US$551/t ปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็น 505k ตันจาก 492k ตันใน 2Q ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำให้มีกำไรสต็อก 480ลบ. จากกำไร 150ลบ. ใน 2Q ส่วนแบ่งกำไรลดลง 32% qoq เป็น 3.9พันลบ. เนื่องจากส่วนต่างเคมีภัณฑ์อ่อนแอลง (เคมีภัณฑ์คิดเป็น 64% ของส่วนแบ่งกำไรทั้งหมดใน 9M21) อุปสงค์ซีเมนต์ในประเทศลดลง -12% yoy มากกว่าคาดการณ์ของเราที่ -9% จากภาคพาณิชย์ (-19%) และที่อยู่อาศัย (-12%), และรัฐบาล (-9%, คิดเป็น 40% ของอุปสงค์) ราคาขายที่ 1,700-1,750บาท/ตัน ธุรกิจเคมีภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สร้างกำไร 5.2พันลบ. และ 1.8พันลบ. ให้กลุ่ม โดย  SCC มีค่าใช้จ่ายพิเศษ 3.6พันลบ. จากการด้อยค่าของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมาร์และกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรม 1.4พันลบ. รายการแรกทำให้ธุรกิจ CBM ขาดทุน 2.4พันลบ. หากไม่รวมรายการนี้ CBM จะมีกำไร 1.2พันลบ. ใน 3Q

Outlook

เรายังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มปิโตรฯ แม้ว่าส่วนต่างในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาฟื้นตัว และส่วนต่างเฉลี่ยของ PE และ PP ในต.ค. จะยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยใน 3Q แต่กำลังการผลิตใหม่ HDPE 5.0 ล้านตัน และ PP 7.9 ล้านตัน กำลังจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ ขึ้นเป็น +7% และ +10% ของอุปทานทั่วโลกในปัจจุบัน เทียบกับอุปสงค์เติบโต +4% - +5% ต่อปี เราคาดอุปสงค์ซีเมนต์จะฟื้นตัวหลังการคลายลอคดาวน์ใน 4Q

 

คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 420 บาทต่หุ้น

กำไร 9M21 คิดเป็น 93% ของคาดการณ์ทั้งปี เราจะทบทวนคาดการณ์ของเราหลังการประชุมเช้าวันนี้ เป้าหมายเทียบเท่า 11.6x FY22F PE และปันผล 4.3%